Wednesday, January 16, 2008

การยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดก ::

การยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดก ::
การดำเนินงานคุ้มครองสิทธิ
การดำเนินงานคุ้มครองสิทธิจะต้องปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการช่วยทางกฎหมายแก่ประชาชน พ.ศ. 2533 อันเป็นการดำเนินคดีคุ้มครองสิทธิตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการ เช่น ร้องขอจัดการมรดก สั่งให้เป็นคนสาบสูญ ร้องขอตั้งผู้ปกครอง ฯลฯ ซึ่งการเนินงานคุ้มครองสิทธิถือว่าพนักงานอัยการเป็นตัวความเอง จึงไม่ต้องยื่นใบแต่งทนายความโดยมีความแตกต่างจากการดำเนินคดีแพ่ง ว่าต่างแก้ต่างให้ กระทรวง ทบวง กรม ซึ่งถือว่าเป็นคู่ความที่แท้จริง ฐานะของพนักงานอัยการมีฐานะเช่นเดียวกับทนายความ โดยปกติ พนักงานอัยการจะรับดำเนินการด้านคุ้มครองสิทธิให้ทุกเรื่อง หากไม่ดำเนินการต้องเสนออธิบดีอัยการฝ่ายช่วยเหลือทางกฎหมายพิจารณาสั่ง และแจ้งให้ผู้ร้องทราบตามระเบียบ หากคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่น สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน ต้องส่งเรื่องไปให้สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนประจำจังหวัด หรือ จังหวัดสาขา ที่มีอำนาจรับดำเนินการให้ การดำเนินการคุ้มครองสิทธิ นอกจากยึดหลักให้บริการ โดยรวดเร็วและเป็นธรรมแล้วยังต้องยึดหลักที่ไม่คำนึงถึงฐานะรายได้ของผู้ร้องขอและไม่เป็นการฝ่าฝืน หรือ หลีกเลี่ยงกฎหมาย ขั้นตอนการดำเนินการ เมื่อมีผู้มาร้อยขอให้คุ้มครองสิทธิ หรือ ช่วยเหลือทางกฎหมายที่สำนักงาน นิติกร หรือ พนักงานอัยการ จะสอบถามผู้ร้อง ตรวจสอบเอกสารหลักฐาน บันทึกข้อเท็จจริงให้สมบูรณ์ที่จะดำเนินการ ตามแบบบันทึกข้อเท็จจริง รับเงินค่าฤชาธรรมเนียม รวบรวมเอกสารเข้าสำนวน เมื่อพนักงานอัยการรับเรื่องจะตรวจว่าเอกสารครบถ้วนหรือไม่ที่จะดำเนินการ ถ้าไม่ครบจะแจ้งให้ผู้ร้องขอส่งมาเป็นสำเนาเอกสาร เมื่อหลักฐานครบถ้วนพอดำเนินการได้ พนักงานอัยการจะยื่นคำร้องต่อศาล ชำระค่าฤชาธรรมเนียม ค่าประกาศหนังสือพิมพ์ และกำหนดวันนัดไต่สวน แจ้งวันนัดให้ผู้ร้องทราบ นำผู้ร้องและต้นฉบับเอกสาร พยานหลักฐาน เข้าไต่สวนตามวันนัด จนศาลมีคำสั่งและส่งคำสั่งศาลให้ผู้ร้องทราบและขอคัดคำสั่งศาล หากศาลมีคำสั่งตามคำร้องขอแล้ว พนักงานอัยการก็เสนอขอยุติการช่วยเหลือต่ออธิบดีอัยการฝ่ายช่วยเหลือทางกฎหมายพิจารณาสั่งต่อไป หากศาลไม่ได้มีคำสั่งตามคำร้องขอ ก็อาจเสนอพิจารณาอุทธรณ์ฎีกาต่อไป กรณีที่สองเป็นกรณีที่บุคคลถึงแก่ความตายโดยผลของกฎหมาย เป็นกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นบุคคลสาบสูญ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 62 เป็นให้บุคคลนั้นถึงแก่ความตายโดยผลของกฎหมาย จึงต้องยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดก
3. เขตอำนาจศาล ในการยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้จัดมรดกถือเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 จัตวา (ที่แก้ไขใหม่ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 12 พ.ศ.2534) ซึ่งบัญญัติว่า “คำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดก ให้เสนอต่อศาลที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลในขณะถึงแก่ความตาย ในกรณีที่เจ้ามรดกไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักร ให้เสนอต่อศาลที่ทรัพย์มรดกอยู่ในเขตศาล” ดังนั้น ตามกฎหมายดังกล่าว ในการยื่นคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดก จึงต้องยื่นคำร้องต่อศาลที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล ในขณะถึงแก่ความตายเท่านั้น แต่ถ้าขณะเจ้ามรดกถึงแก่ความตายนั้น เจ้ามรดกไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาญาจักร การยื่นคำร้องให้ยื่นต่อศาลที่ทรัพย์มรดกอยู่ในเขตศาลนั้น
การยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดก
เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นย่อมตกทอดแก่ทายาท ในปัจจุบันนี้ปรากฏว่า เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตายมีทรัพย์สินจำนวนมากตกทอดแก่ทายาท อาจจะเป็นทายาทโดยธรรม หรือ โดยพินัยกรรม ในกรณีที่เจ้ามรดกมีทรัพย์สินซึ่งมีทะเบียนเป็นโฉนดที่ดิน หนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3 ทะเบียนอาวุธปืน ทะเบียนรถยนต์ ซึ่งทรัพย์เหล่านี้ในการจัดการมรดก เจ้าพนักงานจะไม่ดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนเกี่ยวกับทรัพย์สินเหล่านั้น หากไม่มีการยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้จัดการตามกฎหมายเสียก่อน โดยเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้ราษฎรจำนวนมาก ได้มายื่นคำร้องขอความช่วยเหลือต่อสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน(สคช.) สำนักงานอัยการสูงสุด ให้ยื่นคำร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดกเกี่ยวกับทรัพย์สินเหล่านั้น
1. กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.)
ป.พ.พ. มาตรา 1713 ทายาท หรือ ผู้มีส่วนได้เสีย หรือพนักงานอัยการ จะร้องต่อศาลขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกก็ได้ในกรณีดังต่อไปนี้
(1) เมื่อเจ้ามรดกตาย ทายาทโดยธรรม หรือ ผู้รับพินัยกรรมได้สูญหายไป หรือ อยู่นอกราชอาณาเขต หรือ เป็นผู้เยาว์ (2) เมื่อผู้จัดการมรดก หรือ ทายาทไม่สามารถ หรือ ไม่เต็มใจที่จะจัดการ หรือ มีเหตุขัดข้องในการจัดการ หรือ ในการแบ่งปันมรดก (3) เมื่อข้อกำหนดพินัยกรรม ซึ่งตั้งผู้จัดการมรดกไว้ ไม่มีผลบังคับได้ด้วยประการใดๆ การตั้งผู้จัดการมรดกนั้น ถ้ามีข้อกำหนดพินัยกรรมก็ให้ศาลตั้งตามข้อกำหนดพินัยกรรมและถ้าไม่มีข้อกำหนดพินัยกรรม ก็ให้ศาลตั้งเพื่อประโยชน์แก่กองมรดกตามพฤติการณ์และโดยคำนึ่งถึงเจตนาของเจ้ามรดกแล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร มาตรา 1718 บุคคลต่อไปนี้จะเป็นผู้จัดการมรดกไม่ได้ (1) ผู้ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ (2) บุคคลวิกลจริต หรือ บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถ







(3) บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนล้มละลาย
2. เหตุในการยื่น (1) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท ทายาทอาจเสียไปซึ่งสิทธิในมรดกได้แต่โดยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ หรือ กฎหมายอื่น (2) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1602 เมื่อบุคคลใดต้องถือว่าถึงแก่ความตายตามความในมาตรา 62 แห่งประมวลกฎหมายนี้ มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท กรณีแรกเป็นกรณีที่เจ้ามรดกได้ถึงแก่ความตายโดยธรรมชาติ คือ หัวใจหยุดเต้นและสมองไม่ทำงาน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 15
งานคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์ของประชาชน
1. เมื่อผู้ขอความช่วยเหลือไปพบพนักงานอัยการ นิติกร หรือ ทนายความอาสา ให้สอบถามและรับเรื่องเบื้องต้นในบัญชีรับเรื่อง - สอบถามและฟังข้อเท็จจริงให้ถ่องแท้ - บันทึกข้อเท็จจริงและตรวจสอบเอกสารหลักฐาน พร้อมมอบสำเนาเอกสาร ตามแบบ สคช.8 แล้วให้ผู้ขอความช่วยเหลือลงลายมือชื่อรับทราบ - เข้าปกสำนวน สคช.1, อก.4 และแบบคำร้อง สคช.8 พร้อมสำเนาหลักฐาน - วางเงินค่าธรรมเนียมศาลล่วงหน้า - เจ้าหน้าที่รับเรื่องลงสารบบความแพ่ง(ส.5 ก.) และลงบัญชีจ่ายสำนวน(บ.7) เสนอหัวหน้าพนักงานอัยการ เพื่อจ่ายสำนวนให้พนักงานอัยการดำเนินการ 2. พนักงานอัยการผู้รับผิดชอบดำเนินการตรวจสอบสำนวน - ทำความเห็นว่าควรดำเนินการหรือไม่ อย่างไรใน อก.4 - ร่างคำร้องเสนอหัวหน้าพนักงานอัยการตรวจแล้วให้เจ้าหน้าที่พิมพ์คำร้อง, บัญชีพยาน 3. การดำเนินการในชั้นศาล - ยื่นคำร้องต่อศาล หรือ มอบฉันทะให้นิติกรไปดำเนินการ - มีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องทราบวันนัดไต่สวน - นำพยานไปให้ศาลไต่สวนตามกำหนดนัด - ฟังคำสั่งศาล - คัดสำเนาคำสั่งศาลมอบให้ผู้ร้อง - เสนออุทธรณ์คำสั่งศาลหรือไม่ (กรณีศาลยกคำร้อง หรือ มีคำสั่งที่ไม่เป็นไปตามที่ผู้ร้องประสงค์) - ให้เจ้าหน้าที่ลงสารบบดำเนินการ


เอกสารที่ต้องมายื่นในการร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก
ทะเบียนบ้านของผู้ตาย(เจ้ามรดก) หรือหลักฐานยืนยันทางราชการยืนยันภูมิลำเนาของผู้ตาย
ทะเบียนบ้านของผู้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก
ใบมรณบัตรของผู้ตาย
ใบมรณบัตรของบิดามารดา กรณีบิดามารดาของผู้ตาย(เจ้ามรดก)ถึงแก่ความตายก่อนแล้ว
ทะเบียนสมรสของสามี หรือ ทะเบียนการหย่าของสามีภรรยาของผู้ตาย
ใบสำคัญการเปลี่ยนชื่อ ชื่อสกุล ของทายาทและผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตาย(ถ้ามี)
สูติบัตรของบุตรของผู้ตาย กรณีบุตรยังไม่บรรลุนิติภาวะ หรือ ไม่สามารถให้ความยินยอมได้
บัตรประจำตัวข้าราชการ บัตรประชาชน ของผู้ร้องขอจัดการมรดก
พินัยกรรมของผู้ตาย(ถ้ามี)
หนังสือให้ความยินยอมของทายาทของผู้ตายในการร้องขอจัดการมรดก
บัญชีเครือญาติของเจ้ามรดก(ผู้ตาย)
เอกสารเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของผู้ตาย เช่น โฉนดที่ดินหรือใบแทนหรือสำเนาที่รับรองถูกต้องของเจ้าพนักงาน และสัญญาจำนอง ทะเบียนรถจักรยานยนต์ ทะเบียนรถยนต์ ทะเบียนอาวุธปืน สมุดเงินฝากธนาคาร ใบหุ้น และอื่นๆ เป็นต้น
บัตรประจำตัวข้าราชการ หรือบัตรประจำตัวประชาชน และ ทะเบียนบ้านของผู้ให้ความยินยอมทุกคน
หมายเหตุ จัดเตรียมสำเนาเอกสารทุกรายการพร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง จำนวน 4 ชุด

No comments: