ความเห็นลำดับที่ 4
ส่วนตัวผมชอบ disco นะ นั่งสบายกว่า กว้างขวางกว่า สำหรับความทนทาน อยู่ที่การใช้งานและบำรุงรักษาอย่างถูกวิธีมากกว่า เรื่องอะไหล่ผมว่าน่าจะหาได้ยาก และหาได้ง่ายพอๆกัน ของดีราคาถูกเป็นรางวัลสำหรับคนที่ขยันเดินเสมอ สำหรับ disco V8 กับ 2.0 และ jeep เป็นรถที่ราคาไม่เหลือแล้วครับ ด้วยสถานการณ์พลังงานในปัจจุบันทำให้ราคาอูฐกินน้ำมันพวกนี้ ราคาหายไปมากกว่า เดิม แบบแทบไม่เหลือ ราคารับเข้าหรือขายออกเป็นยังไง คงไม่พูดในที่นี้ละกัน เพราะถือว่าอาชีพเดียวกัน รถรุ่นไหนราคาเป็นยังไง สังเกตได้ง่ายๆ รถรุ่นดังกล่าวที่ใช้ ๆ กันอยู่ปัจจุบันจะเป็นรถ ตั้งแต่ มือที่สามขึ้นไปเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีมือแรก มือที่สอง ให้เห็นกันละ มีอีกทางเลือกที่ใช้งานแล้วดี ถึงรุ่งเลยที่ เดียวก็ คือ พวก ดีเซล เทอร์โบ สังเกตมั้ย ว่า disco 2.5TDI ไม่ค่อยเห็น วางอยู่ในเต๊นท์ไหน หรือลงประกาศขายกันไม่นานก็ไปถ้าจำไม่ผิด เครื่องตัวนี้ แหละ ที่วางอยู่ใน freelander คุณเคยเห็นมันจอดขายนานเกินอาทิตย์มั้ยล่ะ เชื่อมั้ย ว่า เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ของรุ่นนี้ ยังเป็นมือแรก และมือที่สอง ใช้กันอยู่ ว่าแต่ถ้าคันจริงๆ ทำไมไม่ลองเอาค่าเชื้อเพลิง และค่าดัดแปลงที่คุณจะไปเล่นกับไอ้เจ้าสองตัวข้างบน มาเป็นค่าตัวของ pajero diesel V 46 4M40 หรือไม่ ก็ toyota VZJ 95 1KZTE ล่ะผมว่าน่าเล่นกว่าเยอะ จัดไฟแนนซ์ก็ง่ายกว่า บำรุงรักษาก็ง่ายกว่า โดยเฉพาะมิตซู อะไหล่มีเป็นภูเขา
โดย : jaack [ 01 ก.ย. 48 23:26:54 น. ]
เห็นลำดับที่ 6
1kzte กะ 4M40 turbo พร้อมเกียร์ ออโต ราคา ทะลุ 12 หมื่นแล้วครับพี่หมู
โดยส่วนตัว ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับการเปลี่ยนเครื่องข้ามตระกูล หรือการเปลี่ยนชนิดของเชื้อเพลิงครับ พึงจำไว้อย่างว่า การเปลี่ยนอะไรที่คุณว่ามา ถึงเวลาขายต่อราคารถมันจะหายไปมาก อย่างน้อยๆ มูลค่าที่หายไปก็เท่าๆ กับค่าดัดแปลงที่คุณไปทำมา แล้วคูณด้วย 2 เป็นอย่างต่ำว่าแต่รถที่คุณจะซื้อมาน่ะ คุณจะใช้มันกี่ปีลองบวกลบคุณหารดูนะครับ ว่าอะไรคุ้มหรือไม่คุ้ม ผมไม่ได้ทำเต๊นท์นะครับ ก็ซื้อมาขายไปมั่ง หรือเป็นตัวกลางแบบทั่วๆ ไป ชั่วโมงนี้ รถใหญ่ไม่มีใครแตะครับ ลองเดินๆ ในเต๊นท์อาจจะเจอรถใหญ่สภาพดีๆ ในราคาถูกใจนะครับ ถ้าชอบจริงๆ ก็ลองต่อราคาดูละกัน อาจจะได้มาในราคาที่คาดไม่ถึง ปล. เฟรม jamis dakar pro ตัวเล็กๆ นั่น ผมสนใจจะซื้อไว้ให้คุณพ่อน่ะ ซักพัก ถ้าเค้าอยากขี่ต่อจริงๆ และถ้าคุณยังไม่ขาย ผมจะโทรไปคุยละกัน
ลืมบอกไป ถ้าไม่เกี่ยงเรื่องน้ำมัน ที่น่าเล่นอีกตัวนึงก็คือ VX 80 นะครับ อยากจะติดแกส ก็ได้ ที่เหลือเยอะแยะแน่นอน อีกทั้งค่าตัวก็พอๆ กับสองตัวแรก แต่ที่สำคัญก็คือเรื่องอะไหล่นี่แหละ นอกจาก pajero แล้ว ก็มีเจ้าตัวนี้แหละ ที่อะไหล่มีเป็นกระบุง น่าใช้มากกว่าตัว VZJ95 (PRADO) ซะอีก
โอ้โห..คุณ jaack แนะนำรถยักษ์ให้ผมเลยเหรอครับ..อิอิ ราคาเท่ากันแต่ว่าปีเก่ากว่าพอสมควรเลยนะครับ และเจ้า VX80 หรือว่า Prado นี่สำหรับผมหนะไม่เท่าไหร่หรอกครับ...แต่พอเวลาที่แฟนผมเอาไปใช้(ซึ่งเป็นส่วนใหญ่) ผมเกรงว่าเธอจะไม่ค่อยสะดวกเวลาขับหนะซิครับ โดยเฉพาะเวลาเข้าจอดอะไรแบบนั้น แต่ผมว่า Prado นี่ก็ใหญ่แล้วนะ..เหอๆๆๆอ้อ..อีกเรื่องนึงเกือบลืมครับ...รถที่จะเปลี่ยนนี่ คงจะใช้ต่อไปอีกอย่างน้อยๆก็ 5 ปีขึ้นหละครับอีกเรื่องนึงนะครับ..ไม่ทราบว่า คุณ jaack พอจะทราบราคาเครื่องดีเซล 2.7 CRD ของ jeep หรือเปล่าครับว่ามันสักเท่าไหร่ เผื่อว่าจะมองไว้หลังจากใช้จนของเก่าหมดสภาพ หรือว่าจะทำ overhaul แล้วใช้แก๊สต่อไปดีครับขอบคุณอีกครั้งสำหรับคำแนะนำครับป.ล. ส่วนใหญ่ผมจะขี่มอเตอร์ไซด์ หรือในอนาคตอันไม่ไกลนี่ ผมคงปั่นไปทำงานแล้วหละครับ
เปลี่ยนแล้วค่าทำพอๆกับ ที่เคยทราบว่า Land V8i เปลี่ยนเครื่อง KZ แล้วหละก้อ ผมก็คงไม่สู้หละครับ...เอาเงินไปทำ overhaul น่าจะดีกว่าชัวร์กว่าด้วย เรื่องเครื่องดีเซล 2.7 CRD ตัวนี้เห็นว่าอยู่ใน jeep ดีเซลที่กำลังจะวางตลาดนะครับ(หรือออกตลาดแล้วก็ไม่ทราบ) เค้าว่ามันแรงดีแถมกินน้ำมันน้อยกว่าเบนซินหนะครับ ผมเลยสนใจ เพราะจริงๆแล้วก็ไม่อยากเปลี่ยนระบบอะไรอย่างที่คุณ jaack แนะนำแหละครับ แต่เป็นเพราะว่าหารถที่ถูกใจไม่ค่อยได้ส่วนเรื่องรถปิคอัพ อันนี้ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ แม่บ้านไม่เอาอย่างเดียว แต่น่าจะยกเว้นเจ้าฟอร์จูนเนอร์ แต่กว่าราคาจะหล่นลงมา น่าจะอีกนาน..ฮ่าๆๆๆ
..........ช่วงก่อนหน้านี้ ก็มีรถFord Explorer V6 XLT รถ ประจำตำแหน่งของผู้บริหาร Fordthailand ไปอยู่ตามเต๊นท์หลายคันเหมือนกัน บางคันวิ่งแค่ 30000 โลเอง รถปี2002 -2003 ราคาน่าจะราวๆ ล้านต้นๆ ถ้าสนใจลองหาดูได้ครับ เป็นอีกหนึ่งทางเลือก
โดย : mangpor [ 15 ก.ย. 48 20:20:20 น. ] [ IP:210.86.130.67 ]
อิ...ขอบคุณมากครับคุณหมูภูเขาและคุณ mangpor และเจ้า Ford Explorer นั่นถ้าราคาระดับ ล้านขึ้นหละก้อ...ผมคงไม่ไหวครับ แต่ถ้าไหว ผมคงเอาเจ้า Land V8i หละครับ เพราะเมื่อวันหยุดที่ผ่านมาที่ Siam เค้าเอารถของผู้บริหารเหมือนกันมาขายครับ ใช้ไปประมาณ 6-70000 กิโลเท่านั้น ใหม่กริ๊กเลย 1.45 ล้าน เสียดายที่ ตัว TDI300 ดันมีคนเอาไปซะแล้ว..สีดำซะด้วยงามหยดเลยครับ ไม่งั้นนะ...หุ..หุ..จะเก็บไปฝันซะให้เข็ดเลย..ฮ่าๆๆป.ล. งบประมาณการจัดหาครั้งนี้ คงไม่ให้เกิน 6 แสนครับ(รวมถึงการ re-maintenance หลังจากได้รถมาด้วยนะครับ) ตัวรถเองน่าจะซักประมาณไม่เกิน 5 แสนครับ ผมเลยฝันแต่ Jeep Grand Cherokee (ZJ) ประมาณปี 97-98 แหละครับ
โดย : The Red Haro [ 16 ก.ย. 48
สนับสนุนตัวZJ ครับ ผมใช้ตัวXJ อยู่ ติดตั้งแก๊สแล้วไม่เกิน2บ./1กม.ต่างจว.(เกิน5กม./1ล.) ราคาค่าอะไหล่-บริการไม่หนักหนาอะไรเพราะมีอู่นอกมากมายครับ ส่วนเรื่องซื้อมาแล้วเปลี่ยนเครื่องไม่แนะนำครับเพราะเครื่องดีเซลราคาแต่ละตัวก็แพงมากราคาน้ำมันก็ใกล้เคียงกันกับเบนซิน ทำให้จุดคุ้มทุนนานมาก และที่สำคัญที่สุดคือทำให้จบยาก (นี่ไม่รวมการหายไปของความเป็น Jeep อีกต่างหาก)ราคาค่าตัว ค่าติดตั้งระบบแก๊สรวมทั้งค่าดุแลเบื้องต้น ห้าแสนนั้นผมว่าอยู่ในงบครับ ที่สำคัญคุณ The Red Haro ต้องใจเย็น หมั่นไปดูจนได้รถที่ดีถูกใจจริงๆขอโทษที่ให้ความเห็นเฉพาะJeepได้เพืยงด้านเดียวเพราะ Disco ผมไม่มีข้อมูลเพียงพอ คุณ The Red Haro สามารถหาข้อมูลของ Jeep เพิ่มเติมได้ที่ http://www.weekendhobby.com/offroad/jeep/weblist.asp
ขอบคุณคุณทูน่า มากๆครับสำหรับข้อคิดเห็นแนะนำครับ ที่ว่าเรื่องเปลี่ยนเครื่องถ้าผมใช้รถจีพ เครื่องดีเซลนั้นก็เป็นเครื่องของจีพเองแหละครับ แต่ถ้าราคามันสูงผมก็คงไม่เอาเหมือนกันครับเรื่องรุ่นก็คงเป็น ZJ 4.0 Limited ครับ หรือถ้ามีเงินถึง ก็อยากจะตะกายดาวคว้า WJ มาเลยก็เหมือนฝันเลยครับ...ฮ่าๆๆๆขอบคุณมากครับ สำหรับลิ้งค์ที่ให้มาครับ
เอามาเทียบกันไม่ได้เลยครับเชโรกี - mpv ระดับต้นๆ ของโลกราคาใหม่ๆเป็นล้านปาเจโร- mpv ระดับต้นๆของญี่ปุ่นวิเทร่า - suv แบบ compactไทรทัน - รถกระบะระบบกันสะเทือนของสามตัวแรกก็แตกต่างกับไทรทันอย่างชัดเจนแล้วถ้าพูดในแง่วิศวกรรมยานยนตร์ยังแตกต่างกันอีกมากมายจริงๆต้องแยก เชโรกี ออกไปเลย ไม่เข้าพวกด้วยประการทั้งปวงไม่พุดถึงเรื่องอัตราการบริโภคและ ราคาขายต่อนะครับสองปัจจัยนี้ผมไม่นับว่ามีผลต่อประสิทธิภาพของความเป็นเครื่องจักรกลที่ดีหรือไม่ดี 50 07:19:29 ]
ผมเอา ปาเจโร ไว้ #1 เพราะว่า อะไหล่เซียงกง มันเยอะ ยังพอหาได้เชิงโลกีย์ อะไหล่ใหม่ และ เก่า ราคามันโหดร้ายเหลือใจ....
ขอทราบราคาโช๊ค pro come 27 นิ้ว jeep
ราคา ตัวละ 2500 บาท มีความยาว 26.5 นิ้วครับ
ต้องการขาย รถ SUV JEEP CHEROKEE เชโรกี
จีป เชโรกี 4.0ลิตร ติดแก๊สแล้วประกอบนอก
ติดต่อคุณ ::
สุริยา
จุดนัดดูรถ ::
กรุงเทพมหานคร
E - Mail ::
suriya@hotmail.com
เบอร์โทรผู้ขาย ::
08465995501
เบอร์โทรสำรอง ::
ราคา ::
316,000 บาท
ปี ::
1995
ระบบเกียร์ ::
MT
ระยะทางที่วิ่ง (กม.) ::
-
สี ::
ทอง
ขนาดเครื่องยนต์ (cc.) ::
4000
Options ::
แอร์, พวงมาลัยเพาเวอร์, วิทยุ เทป, เครื่องเล่น cd, รีโมท, เบาะไฟฟ้า, กระจกไฟฟ้า, ล้อแม็กซ์, เซ็นทรัลล็อค, เบรค ABS
รายละเอียด ::
ดูหนัง ฟังเพลงร้องคาราโอเกะได้ ช่วงล่างแน่น ยกศุง2นิ้ว ยางเปลี่ยนมาใหม่
ผมใช้รถ TOYOTA CORONA 2.0 GLi AUTO ST 171 ปี 1994 อยู่ครับ อายุของรถตอนนี้ก็เป็นแสน ๆ กม.แล้ว ล่าสุดปรากฏว่าฝาสูบผุ และเครื่องยนต์ฮีตจนฝาสูบโก่ง ซึ่งช่างก็ไม่นำไปซ่อมแล้ว แต่เมื่อรับรถกลับมา เครื่องยนต์ยังมีเสียงดังเหมือนตอนก่อนซ่อม แต่ก็เดินได้เรียบดี สังเกตว่าหากวิ่งธรรมดา ๆ ก็จะมีเสียงวาล์วดัง แต่พอวิ่งเกิน 80 ขึ้นไป เสียงวาล์วก็เงียบลง ได้ยินเพียงเล็กน้อย และที่สำคัญคือ เมื่อออกมาจากอู่ไม่นานรถก็มีอาการความร้อนขึ้นอีกจนไฟเตือนความร้อนวางขึ้น แต่ดับเครื่องได้ทัน จากนั้นก็จอดเติมน้ำ แต่พอเมื่อเปิดฝาหม้อน้ำก็ปรากฏว่ามีกลิ่นฉุน ๆ ของเบนซินครับ จึงยังสงสัยว่าช่างได้ซ่อมรถให้ถูกต้องหรือไม่ จากอาการดังกล่าวทำให้ฝาปิดหม้อพักน้ำบวมและเสีย ซึ่งผมก็ได้แวะกลับไปที่อู่ ช่างบอกว่าเขาได้ใช้น้ำมันฉีดล้างฝาสูบเพื่อทำความสะอาดก่อนประกอบฝาสูบ จึงมีน้ำมันเข้าไปในเครื่อง แต่ก็ได้ล้างหม้อน้ำให้โดยทางการไล่ลม จากนั้นเปลี่ยนฝาหม้อน้ำใหม่ ซึ่งจากนั้นความร้อนก็ไม่ขึ้น แต่ต่อมาความร้อนก็ขึ้นอีกครั้ง ผมก็จอดและเปิดฝาเพื่อเติมน้ำ ก็ปรากฏว่าฝาหม้อน้ำที่เปลี่ยนไปเสียอีก ยางหลุดล่อน เพราะยังมีคราบน้ำมันอยู่ในหม้อน้ำ ผมได้กลับไปที่อู่อีก ตอนนี้เขาบอกว่ารถของผมฝาสูบผุ และต้องทำใหม่อีกที ผมเลยฝากเขาไว้ เพื่อจะขอถามจากผู้รู้ก่อนครับว่าอาการที่เล่ามาทั้งหมดนั้นจริงเท็จ แค่ไหน และควรจะทำเช่นไรดี ทั้งนี้เพราะผมไม่ค่อยจะเชื่อช่างซะแล้วครับ ชานนท์ มาตยสกุล
อาการของ ST171 CORONA 2.0 GLI ของน้าท่าทางจะประสบปัญหาฝาสูบกร่อนน่ะครับ ก่อนอื่นขอบอกหน่อยว่าฝาสูบอะลูมิเนียมของโตโยต้ายุคหลัง ๆ เนี่ย ฝาสูบชอบผุ แถว ๆ เกิน 100,000 กม.ไปแล้วควรเข้าพบช่าง หรือหากจะให้ดีเกิน 100,000 กม. เมื่อใดก็หมั่นเปิดตรวจสีของน้ำในหม้อน้ำบ้างก็อาจพบอาการดังกล่าว แต่ส่วนมากร้อยทั้งร้อย ฝาสูบและปะเก็นมักจะค่อย ๆ ผุที่ละนิด กร่อนไปเรื่อย ๆ กร่อนไปกร่อนมาก็จะเกิดการ "ฮีต" แน่นอนคับว่าอาการต่อมาก็ฝาโก่ง ฝาแตก ฝาร้าว ที่น่าเห็นใจคือใครที่ซื้อเป็น “มือสอง” มาใช้โดยไม่รู้ประวัติ (นับอายุเอาก็แล้วกัน ถึง 10 ปีเมื่อไรก็เข้าเปิดฝาสูบเปลี่ยนปะเก็นดู)แน่นอนครับว่าอาการ "ฮีตหนสอง" นี้น่าจะมาจากฝาหม้อน้ำบวม น้ำมันที่อยู่ในระบบหล่อเย็นมันเก็บน้ำไม่อยู่ อุณหภูมิจุดเดือดต่ำลง แค่แถว ๆ 90 องศาเซลเซียส ยังไม่ถึง 100 ก็ร้อนฉ่าเลย วิธีแก้คือ ล้างหม้อน้ำโดยด่วนเพื่อไล่น้ำมัน ล้างเครื่องออกให้หมด แล้วเปลี่ยนฝาหม้อน้ำอีกอัน แต่วิธีล้างมันมีครับ นั่นคือให้บีบน้ำยาล้างจาน ซึ่งมันจะมีคุณสมบัติให้ไขมันจับตัวเป็นกลุ่มก้อนได้ง่าย จากนั้นก็ถ่ายทิ้ง เติมน้ำแล้วเฝ้าสังเกตคราบน้ำมันที่อาจยังลอยเหลืออยู่ ก็ให้ทำซ้ำอีกทีจนกว่าน้ำในหม้อน้ำจะสะอาดใสจนซดได้ ไม่มีกลิ่น ไม่มีไขจากน้ำมันลอยให้เห็น ก็จบครับส่วนเสียงที่ดังจากวาล์วนั้น เข้าใจว่าช่างอาจตั้งวาล์วไม่ถูกต้องครับ ควรตั้งใหม่ให้ได้ตามคู่มือ ปลอกวาล์วและยางตีนวาล์วล่ะ O.K. ไหม โรงกลึงทำฝาสูบให้เป๊ะไหม..เอ่อ..ผมเคยส่งฝาสูบไปให้โรงกลึงที่ยังไม่ประสา เขาของานมาก็ช่วย ๆ กันไป ปรากฏว่า เละ! ฝาสูบรั่วก็สามารถ "พอก ไส ถม" เนื้ออะลูมิเนียมได้ครับ แต่ควรคุยกับช่างให้ดีก่อนว่าต้องหาโรงกลึงที่เก่งรถยุโรปหน่อยนะ ที่แย่ก็คือฝาสูบรถเก่า ๆ เข้าหลักเป็น 100,000 กม. แล้วควรเช็กฝาสูบ เช็กท่อนบน หรือเช็กวาล์ว เปิดฝาสูบดูสัก 3,000-4,000 [าท (ถ้าไม่เจอปัญหาแทรกซ้อนอื่นใดนะ!) เพื่อคอยระวังป้องกันให้ไกลจากปัญหาที่น้ากำลังเจอ! โดยสรุปผมเข้าใจว่างานนี้เห็นที น้า ควร "ซ้ำ" ที่ฝาสูบอีกที คราวนี้เอา "มือวาง" จริง ๆ แต่ตอนนี้ควรลองวิธีของผม แก้ไขปัญหาหาเบา ๆ เรื่องหม้อน้ำ และค่อยเข้าขั้น "เซตฝาสูบ ตั้งวาล์ว" อีกสักที เพราะคราวนี้ถ้าได้ "ตัวจริง" มาทำให้ละก็ อีกสัก 50,000-60,000 กม. หรือราว 3 ปีต่อไป ก็ห่างไกลปัญหาครับรับรองได้ กฤษณ์ บุญมาก
อาการของ ST171 CORONA 2.0 GLI ของน้าท่าทางจะประสบปัญหาฝาสูบกร่อนน่ะครับ ก่อนอื่นขอบอกหน่อยว่าฝาสูบอะลูมิเนียมของโตโยต้ายุคหลัง ๆ เนี่ย ฝาสูบชอบผุ แถว ๆ เกิน 100,000 กม.ไปแล้วควรเข้าพบช่าง หรือหากจะให้ดีเกิน 100,000 กม. เมื่อใดก็หมั่นเปิดตรวจสีของน้ำในหม้อน้ำบ้างก็อาจพบอาการดังกล่าว แต่ส่วนมากร้อยทั้งร้อย ฝาสูบและปะเก็นมักจะค่อย ๆ ผุที่ละนิด กร่อนไปเรื่อย ๆ กร่อนไปกร่อนมาก็จะเกิดการ "ฮีต" แน่นอนคับว่าอาการต่อมาก็ฝาโก่ง ฝาแตก ฝาร้าว ที่น่าเห็นใจคือใครที่ซื้อเป็น “มือสอง” มาใช้โดยไม่รู้ประวัติ (นับอายุเอาก็แล้วกัน ถึง 10 ปีเมื่อไรก็เข้าเปิดฝาสูบเปลี่ยนปะเก็นดู)แน่นอนครับว่าอาการ "ฮีตหนสอง" นี้น่าจะมาจากฝาหม้อน้ำบวม น้ำมันที่อยู่ในระบบหล่อเย็นมันเก็บน้ำไม่อยู่ อุณหภูมิจุดเดือดต่ำลง แค่แถว ๆ 90 องศาเซลเซียส ยังไม่ถึง 100 ก็ร้อนฉ่าเลย วิธีแก้คือ ล้างหม้อน้ำโดยด่วนเพื่อไล่น้ำมัน ล้างเครื่องออกให้หมด แล้วเปลี่ยนฝาหม้อน้ำอีกอัน แต่วิธีล้างมันมีครับ นั่นคือให้บีบน้ำยาล้างจาน ซึ่งมันจะมีคุณสมบัติให้ไขมันจับตัวเป็นกลุ่มก้อนได้ง่าย จากนั้นก็ถ่ายทิ้ง เติมน้ำแล้วเฝ้าสังเกตคราบน้ำมันที่อาจยังลอยเหลืออยู่ ก็ให้ทำซ้ำอีกทีจนกว่าน้ำในหม้อน้ำจะสะอาดใสจนซดได้ ไม่มีกลิ่น ไม่มีไขจากน้ำมันลอยให้เห็น ก็จบครับส่วนเสียงที่ดังจากวาล์วนั้น เข้าใจว่าช่างอาจตั้งวาล์วไม่ถูกต้องครับ ควรตั้งใหม่ให้ได้ตามคู่มือ ปลอกวาล์วและยางตีนวาล์วล่ะ O.K. ไหม โรงกลึงทำฝาสูบให้เป๊ะไหม..เอ่อ..ผมเคยส่งฝาสูบไปให้โรงกลึงที่ยังไม่ประสา เขาของานมาก็ช่วย ๆ กันไป ปรากฏว่า เละ!
ฝาสูบรั่วก็สามารถ "พอก ไส ถม" เนื้ออะลูมิเนียมได้ครับ แต่ควรคุยกับช่างให้ดีก่อนว่าต้องหาโรงกลึงที่เก่งรถยุโรปหน่อยนะ ที่แย่ก็คือฝาสูบรถเก่า ๆ เข้าหลักเป็น 100,000 กม. แล้วควรเช็กฝาสูบ เช็กท่อนบน หรือเช็กวาล์ว เปิดฝาสูบดูสัก 3,000-4,000 [าท (ถ้าไม่เจอปัญหาแทรกซ้อนอื่นใดนะ!) เพื่อคอยระวังป้องกันให้ไกลจากปัญหาที่น้ากำลังเจอ! โดยสรุปผมเข้าใจว่างานนี้เห็นที น้า ควร "ซ้ำ" ที่ฝาสูบอีกที คราวนี้เอา "มือวาง" จริง ๆ แต่ตอนนี้ควรลองวิธีของผม แก้ไขปัญหาหาเบา ๆ เรื่องหม้อน้ำ และค่อยเข้าขั้น "เซตฝาสูบ ตั้งวาล์ว" อีกสักที เพราะคราวนี้ถ้าได้ "ตัวจริง" มาทำให้ละก็ อีกสัก 50,000-60,000 กม. หรือราว 3 ปีต่อไป ก็ห่างไกลปัญหาครับรับรองได้
อันดับแรกก็ต้องดูกันก่อนว่าลักษณะการติดของไฟเตือน ABS นั้นมันเป็นแบบไหน โดยทั่วไปจะมีอยู่ 2 รูปแบบด้วยกัน อย่างแรกนั้นช่วงสตาร์ตเครื่องยนต์จะไม่มีปัญหาอะไร พอเครื่องยนต์ทำงานแล้ว ไฟเตือนต่าง ๆ จะดับลง รวมทั้งไฟเตือน ABS ด้วย แต่พอขับรถไปเพียงครู่เดียวหรือระยะหนึ่งจะปรากฏว่ามีไฟเตือน ABS ติดโชว์ขึ้นมาทันที หากเป็นแบบนี้ตัวการส่วนใหญ่ประมาณว่า 80-90% เลยเกิดขึ้นจากที่มีการรั่วซึมในตัว “Actuator” สมองของระบบหรือตัวจ่ายแรงดันน้ำมันเบรกที่เห็นเป็นกล่องอะลูมิเนียมเหลี่ยม ๆ ดูพิลึก แล้วมีท่อต่อออกมาหลายเส้นนั่นแหละ เนื่องจากในช่วงที่ดับเครื่อง แรงดันใน Actuator ยังคงอยู่เป็นปรกติ ไฟเตือน ABS ก็เลยไม่ติด แต่พอขับรถไปแล้วมีการใช้เบรกขึ้นมา แรงดันใน Actuator ค่อยเกิดการรั่วไหล ทำให้แรงดันในระบบตกต่ำลงกว่ากำหนด เจ้าไฟเตือนการทำงานของเบรก ABS ก็เลยติดโชว์ขึ้นมาเตือนเจ้าของรถให้ทราบว่ากำลังจะต้องเสียเงินแล้ว เตรียมเงินไว้ก็แล้วกัน
หรืออีกรูปแบบเป็นการโชว์ไฟเตือน ABS ตั้งแต่สตาร์ตเครื่องยนต์เลย หลังจากเครื่องยนต์ติดแล้วไฟเตือนต่าง ๆ ดับลง แต่ไฟเตือน ABS ไม่ยอมดับตามไปด้วย พอวิ่งใช้งาน ไฟเตือนอาจจะดับหรือติดอยู่ตลอดเวลาก็ได้ คราวนี้อ้ายตัวก็กวนจะป่วนมากหน่อย การแก้ไขและตรวจเช็กควรเริ่มจากการยังไม่ต้องจ่ายเงินหรือเสียเงินก็น้อย ๆหน่อย แล้วค่อยไปดูของแพงกันหลังจากแน่นอนแล้วว่าจะต้องจ่าย อันดับแรกอาจเป็นเพราะว่าตัวเซ็นเซอร์ ABS ที่ล้อรถสกปรกจากฝนฟ้า หรือสายไฟหลุดหลวมหรือขาดใน บางทีไปจอดผิดที่ยังอาจถูกหนูแทะ หรือลูกหมาเข็ดฟันเข้าไปกัด หรือไม่ก็ระยะห่างระหว่างเซ็นเซอร์กับเฟืองที่ล้อไม่ถูกต้อง ส่วนใหญ่แค่ทำความสะอาด หรือปรับระยะห่างกันใหม่ก็ใช้ได้แล้ว ไม่ต้องเปลี่ยน เคยเจอรถพรรคพวกผมอยู่บ้าง ไฟ ABS โชว์หราเลยพาเข้าอู่ ช่างบอกว่าเซ็นเซอร์เสียต้องเปลี่ยนหลายตังค์ มันเลยเอารถมาให้ดู ตอนแรกใช้สเปรย์ Contact cleaner ซึ่งที่ผมใช้เป็นประจำก็คือ Philip กระป๋องฟ้า (Liquid Tools) ฉีดทำความสะอาดฟื่ดเข้าไปตรงตัวเซ็นเซอร์ล้อ หลายเที่ยวก็ยังไม่หายสักที เมื่อลองวัดไฟที่เซ็นเซอร์ข้างหน้าได้แค่ 4 โวลต์เท่านั้น ส่วนข้างหลังได้ 12 โวลต์ พอต่อสายกราวด์เส้นใหม่ช่วยเข้าไปที่เซ็นเซอร์ล้อคู่หน้า ไฟเตือน ABS ก็ดับ จากนั้นพอถอดเซ็นเซอร์ที่ล้อหน้าออกมาขัดทำความสะอาดขี้ฝุ่นขี้เกลือออกไซด์ตรงบริเวณขอบล้อที่ใช้เป็นกราวนด์แล้วใส่กลับเข้าไป เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อย ไม่ต้องเสียเงินซื้อเซ็นเซอร์มาเปลี่ยน นอกเหนือจากเรื่องของเซ็นเซอร์ที่ล้อ ก็มีเรื่องราวการรั่วของระบบเบรก และสำหรับรถบางคัน แค่น้ำมันเบรกพร่อง ระบบไฟเตือน ABS ก็เตือนขึ้นมาแล้ว ส่วนเรื่องตัวกล่องสมอง ABS (กล่องอะลูมิเนียมเหลี่ยมจัด) เสียนั้นก็เป็นไปได้เหมือนกันครับ แต่มีเปอร์เซ็นต์ค่อนข้างต่ำ ส่วนที่ยังห่วงว่าถ้าขับไปไหนต่อไหนโดยยังไม่มีเวลาซ่อมจะอันตรายไหม ซึ่งเรื่องนี้แล้วแต่ว่าตัวการเกิดขึ้นจากตัวไหน หากเป็น ABS ธรรมดา (ไม่ควบกับระบบ EBD ระบบเลียจานเบรกใด ๆ มาเกี่ยวข้อง เพราะรถยุคก่อนยุค Y2K นั้นยังไม่มี) แล้วเป็นที่เซ็นเซอร์หรือกล่องควบคุม หากปล่อยทิ้งไว้ก็ไม่มีปัญหาอะไร การใช้งานบนถนนแห้งกลับเบรกดีกว่า ABS ซะด้วยซ้ำ ใช้ระยะเบรกสั้นลงกว่าเดิม ยกเว้นเป็นการเบรกรุนแรงกะทันหันหรือเบรกบนทางลื่น ล้อรถอาจล็อก เบรกอาจ Fade! แล้วตัวรถอาจเกิดเสียการทรงตัวได้ ระวังไว้หน่อย ซึ่งรถสมัยก่อนที่ยังไม่มี ABS ใช้ก็เห็นขับกันได้ แต่ถ้าเป็นปัญหาที่ตัว “Actuator” หรือมีการรั่วไหลของระบบเบรก อันนี้ควรจะจัดการแก้ไขโดยเร็ว ไม่สมควรปล่อยทิ้งเอาไว้ เดี๋ยวเป็นเรื่องอื่นไปซะ มันจะไม่คุ้มครับ ระยะนี้ฝนยังชุกอยู่ อย่าปล่อยให้ ABS ลอยนวล แวะปรึกษาศูนย์ซ่อมมาตรฐานดีกว่า “น้าแอ๊บแบ๊ว” โชคดีครับ กฤษณ์ บุญมาก
จี๊ป แพทริออท16 พฤศจิกายน 2548 12:59 น.รถในแบบอินเตอร์เนชั่นแนลมาร์เก็ต โฉมใหม่ในตระกูลJeep
จี๊ป แพทริออท (jeep patriot) และจี๊ป คอมพาสส์ (jeep compass) ที่จะเข้าร่วมเป็นหนึ่งในสายเลือดของจี๊ป โดยมีการวางตำแหน่งให้ 2 รุ่นนี้ เป็นรถในแบบอินเตอร์เนชั่นแนลมาร์เก็ต คือมุ่งขายทั่วโลกมากกว่าจะเน้นเพียงตลาดอเมริกาอย่างเดียว หลังจากก่อนหน้านี้ จี๊ป มีรถอยู่ในตลาดแล้วไล่ตั้งแต่รุ่นใหญ่สุดลงมา คือ คอมมานเดอร์ , แกรนด์ เชโรกี, ลิเบอร์ตี้ (มาแทนเชโรกี) และ แรงเลอร์ ที่ได้ชื่อว่าสืบทอดตำนานจี๊ปตัวจริง 1000 เปอร์เซ็นต์
แนวคิดหลักในการออกแบบรถยนต์ทั้ง 2 รุ่นนี้คือ เป็นจี๊ปขนาดคอมแพ็คหรือเล็กลงมากว่าที่เป็น (ประมาณขนาดเท่า ฮอนด้า ซี-อาร์วี,แลนด์โรเวอร์ ฟรีแลนเดอร์ ) แต่ยังสมรรถนะการขับขี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ขับสนุกผ่อนคลายขึ้น ประหยัดเชื้อเพลิง อีกทั้งภายในห้องโดยสารต้องปรับเปลี่ยนได้หลากหลายรูปแบบ ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ได้มากขึ้น
มีแนวโน้มว่าเครื่องยนต์ที่จะใช้เป็นเครื่องยนต์เบนซินบล็อกใหม่ 4 สูบ 2.4 ลิตร และดีเซลคอมมอนเรล 2.0 ลิตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติแบบแปรผันอัตราทดต่อเนื่อง หรือที่เรารู้จักกันในชื่อเกียร์อัตโนมัติแบบ ซีวิที นอกจากนี้ยังมีข่าวมาอีกว่าเครื่องยนต์ที่ใช้บล็อกใหม่ทั้ง 2 บล็อกนี้ จะเป็นเครื่องยนต์แบบวางขวาง นั่นหมายความว่า ระบบขับเคลื่อนย่อมมีแนวโน้มจะเป็นแบบฟูลไทม์ เช่นเดียวกับฟรีแลนด์เดอร์
สิ่งที่เหมือนกันอีกอย่างของจี๊ปทั้ง 2 รุ่นอยู่ที่กระจังหน้าแบบ 7 ช่อง อันเป็นเอกลักษณ์ของจี๊ป แต่ส่วนที่แตกต่างก็คือรูปลักษณ์โดยรวมที่ จี๊ป คอมพาสส์ จะออกแนวสปอร์ตมากขึ้น ทั้งใช้โทนสีแบบโมโนโทนหรือสีเดียวทั้งคัน โดยช่วงหน้าใช้ไฟทรงกลม และโครงสร้างตัวถังช่วงหน้าจะคล้าย จี๊ป ลิเบอร์ตี้ แต่โครงสร้างด้านหลังจะดูพลิ้วออกสปอร์ตมากขึ้น (ผมว่าดูแล้วคล้ายโตโยต้า แฮริเออร์ อย่างไงอย่างงั้นทีเดียว) ไม่มีรางรูปแร็คสไตล์ของจี๊ปติดมา ขณะที่ล้อแม็กจะเป็นขนาด 19 นิ้ว พร้อมท่อไอเสียโครเมี่ยมคู่ เพื่อความเป็นสปอร์ตเต็มรูปแบบมากขึ้น
จี๊ป แพทริออท ชื่อก็บอกแนวโน้มอยู่แล้วว่าออกแนวอนุรักษ์นิยม สำหรับแฟนพันธ์แท้ เชโรกี ที่ยังทำใจไม่ได้กับรูปลักษณ์ทรงเหลี่ยมซึ่งถูกแทนที่ด้วยความโค้งมนของลิเบอร์ตี้ จี๊ป แพทริออท อาจเป็นตัวแทนความรู้สึกนั่นได้ครับ เพราะรูปทรงโดยรวมแทบคล้ายกับการเอาเชโรกี รุ่นสุดท้ายมาย่อขนาดลง แล้วใส่ไฟกลมเข้าไปแทนทรงเหลี่ยมของเดิม โดยที่กันชนหน้า/และรูฟแร็ค ยังเป็นโทนสีดำ ส่วนล้อแม็กใช้ขนาด 17 นิ้ว
ชนินทร์ พงษ์เสือ แม้ราคาน้ำมันในต้นสัปดาห์นี้จะทะลุ 30 บาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับลูกค้ากลุ่มบนระดับ a+++ ที่ต้องการความสะใจเป็นหลัก ราคาค่าตัวหรือค่าน้ำมันดูจะไม่ใช่เรื่องเป็นปัญหา ฉะนั้นแล้วในสัปดาห์นี้เอาเป็นว่ามาดูให้สะใจฉลองราคาน้ำมันใกล้ 3 ลิตร 100 บาทไปพร้อมๆ กันดีกว่าครับ
ตัวอย่างของพันธุ์แรงที่ว่าในคราวนี้ก็คือ "จี๊ป แกรนด์ เชโรกี เอสอาร์ที-8" (jeep grand cherokee srt-8) ซึ่งรหัสเอสอาร์ที สำหรับจี๊ปแล้วก็น่าจะเทียบได้กับ เอเอ็มจี ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ หรือ เอ็มเทคนิค ของบีเอ็มดับเบิลยู นั่นเองครับ โดยมีชื่อเต็มก็คือ srt : street and racing technology และมันยังเป็นแผนกหนึ่งในไครสเลอร์ ทำหน้าที่สร้างรถยนต์รุ่นพิเศษสมรรถนะสูงขึ้นมา ประมาณว่าทำหน้าที่สร้างตำนานหน้าใหม่ให้ไครสเลอร์นั่นเองครับ
แกรนด์ เชโรกี เอสอาร์ที รุ่นนี้ถือว่าเป็นการสร้างตำนานใหม่ของจี๊ปลงในหน้าประวัติศาสตร์ของยานยนต์ประเภทออฟโรด ด้วยสมรรถนะจากเครื่องยนต์ในบล็อคประวัติศาสตร์ เฮมี่ (hemi) วี 8 ความจุ 6.1 ลิตร รีดกำลังออกมาแบบสบายๆ ได้ที่ 420 แรงม้า พร้อมแรงบิดระดับ 420 ฟุต-ปอนด์ หรือมากกว่าแกรนด์ เชโรกีรุ่นสแตนดาร์ด 25% ระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ 4 ล้อ ฟูลไทม์ เพื่อจับม้าและถ่ายทอดแรงบิดลงพื้นให้หมด มีอัตราเร่ง 0-62 ไมล์ หรือ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 5.0 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 152 ไมล์/ชั่วโมง หรือ เฉียด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมงไปนิดเดียวเท่านั้น และถือว่าเป็นรถที่มีตราจี๊ปบนหน้ากระจังที่ แรง เร็ว ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ตัวลุยเกรดใกล้เคียงที่พอจะหามาต่อรองได้ในพิกัดเดียวกัน ณ เวลานี้เห็นจะมีเพียง พอร์ช คาเยนน์ เทอร์โบ เท่านั้น ฉะนั้นหากเห็นเจ้าตัวลุยคันนี้อยู่บนถนนเลนข้างๆ หากคุณมิได้ขับรถประเภทซูเปอร์คาร์อยู่ ขอย้ำ... อย่าลอง
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อฟูลไทม์ ใน แกรนด์ เชอโรกี เอสอาร์ที เป็นแบบใหม่ยกชุด โดยในสภาวะปกติ แรงบิด 5-10% จะถูกถ่ายทอดไปยังล้อคู่หน้า และอีก 90-95% เป็นล้อคู่หลัง และเมื่ออยู่ในสภาวะที่ผิวทางค่อนข้างลื่น ระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัวจะสามารถเปลี่ยนแปลงอัตราการถ่ายทอดแรงบิดไปยังล้อคู่หน้าได้สูงสุดถึง 100% หากจำเป็นเพื่อรักษาการทรงตัวให้ปลอดภัยที่สุด
ภายนอกของรถคันนี้ดูเผินๆ อาจไม่แตกต่างอะไรกับ แกรนด์ เชโรกี ทั่วไป แต่ถ้าสังเกตดูจะพบข้อแตกต่าง ทั้งการออกแบบช่องดักลมเข้าสู่ห้องเครื่องยนต์ ช่องดักลมเพื่อระบายความร้อนของระบบเบรก สปอยเลอร์รอบคันเพื่อสร้างแรงกดและลดอากาศหมุนเวียนใต้ท้องรถ ล้อแม็กลาย 5 ก้านขนาด 20 นิ้ว พร้อมท่อไอเสียคู่ขนาดใหญ่ ส่วนที่สังเกตต้องรื้อดูจึงจะทราบ ก็คือการใช้ระบบเบรกทั้งจานและคาลิเปอร์ของเบรมโบ (brembo) ส่วนช็อคอัพเป็นของบิลสไตน์ รวมถึงคอยล์สปริง และบู๊ชต่างๆ ก็ถูกปรับให้มีขนาดใหญ่ขึ้น รวมถึงความสูงใต้ท้องรถก็ถูกลดลงไปอีก 25 มิลเมตร เพื่อรองรับสมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์ ถ้าใครสนใจอยากได้จริงๆ ขอแสดงความยินดีด้วยครับ เพราะต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เวอร์ชั่นพวงมาลัยขวาได้เริ่มออกจำหน่ายในยุโรปแล้ว ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 4.05 หมื่นปอนด์ หรือประมาณ 2.8 ล้านบาท ยังไม่รวมภาษีและค่าการตลาดครับ อย่างในปีนี้ค่ายจี๊ปเผยโฉมใหม่ซึ่งเป็นไมเนอร์เชนจ์ของแกรนด์เชโรกีออกมายั่วน้ำลายคอออฟโรด แต่งหน้าทาปากนิดและสวมหัวใจใหม่กับเครื่องยนต์วี8 4,700 ซีซี 291 แรงม้า หรือมีกำลังเพิ่มขึ้นจากบล็อกเดิมอีก 24% เลยทีเดียว ในขณะที่ลิเบอร์ตี้ หรือที่เมื่อก่อนเรารู้จักกันดีในชื่อเชโรกี ก็มากับโฉมใหม่แกะกล่องที่ดูบึกบึนและแข็งแกร่งขึ้น และตัวถังได้รับการขยายระยะฐานล้ออีก 45.7 มิลลิเมตร และความยาวตัวถังเพิ่มขึ้น 63.5 มิลลิเมตร พร้อมมีออพชั่นแบบมูนรูฟหลังคาเลื่อเปิดได้ หรือ Sky Slider ให้เลือกติดตั้งเพิ่มเติม ส่วนระบบกันสะเทือนหน้า-หลังปรับปรุงใหม่เป็นแบบอิสระ และยึด 5 จุด ขณะที่ฟอร์ดยังไม่เลิกการเดินหน้ากระตุ้นตลาดรถยนต์เพื่อสร้างยอดขายให้กับตัวเอง และคราวนี้หันมาเจาะตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ด้วยรถตู้ทรงเหลี่ยมเหมือนกล่องอย่างรุ่นเฟล็กซ์ พร้อมเครื่องยนต์วี6 3,500 ซีซ๊กว่า 260 แรงม้า และเป็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาจากรถยนต์ต้นแบบรุ่นแฟร์เลนที่เปิดตัวในดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2005 โดยฟอร์ดจะนำเฟล็กซ์เข้ามารวมอยู่ในกลุ่มรถยนต์ขนาดกลางเจนเนอเรชันใหม่ร่วมกับทอรัส และทอรัส เอ็กซ์ รวมถึงเอดจ์ในการแข่งขันกับคู่ปรับในตลาดขนาดกลางของสหรัฐอเมริกาซึ่งก็มีโตโยต้า ฮอนด้า รวมถึงฮุนไดเป็นคู่แข่งหลัก
ในกลุ่มตัวแรงฟอร์ดเผยโฉมรุ่นจีที500เคอาร์ หรือ King of the Road ของมัสแตงที่จับมือกับแคร์โรลล เชลบี้ร่วมพัฒนาขึ้นมาเพื่อเอาใจลูกค้าเท้าหนักโดยเฉพาะ และจะเริ่มขายในตลาดปี 2008 ด้วยจำนวนจำกัดเพียง 1,000 คันเท่านั้น ส่วนเครื่องยนต์เป็นวี8 5,400 ซีซี ซูเปอร์ชาร์จ มีกำลังสูงสุด 540 แรงม้า สำหรับจีเอ็มมีทีเด็ดที่แบรนด์เชฟโรเลต กับต้นแบบทรงทันสมัย 3 รุ่นซึ่งเป็นโปรเจ็กต์ใหม่ที่จีเอ็มเตรียมเอาไว้รับมือกับการรุกตลาดของรถยนต์ซับคอมแพ็กต์ของบรรดาผู้ผลิตญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ รวมถึงยังส่งขายในตลาดโลกด้วย ซึ่งทั้ง 3 รุ่นเป็นต้นแบบในชื่อบีท, แทร็ก และกรูฟ กับรูปทรงแฮทช์แบ็ก 5 ประตูในสไตล์ทรงกล่องสูง เหมือนกับพวกซิตี้คาร์ของญี่ปุ่น และแน่นอนว่าทั้งหมดเป็นผลงานการออกแบบและพัฒนาโดยทีมวิศวกรของเชฟโรเลต (และแดวู) ในเกาหลีใต้ รุ่นแทร็กมาในสไตล์ยกสูงให้ดูเหมือนกับมินิออฟโรด พร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 1,000 ซีซี ส่วนรุ่นกรูฟเป็นอีกสไตล์ที่แตกต่างเพราะมากับรูปลักษณ์ย้อนยุคที่ชวนให้นึกถึงรถยนต์ในยุคทศวรรษที่ 1960 และใช้เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 1,000 ซีซี ส่วนอีกรุ่นบีทเน้นความแรงและเอาใจลูกค้าวัยรุ่นด้วยรูปทรงที่โฉบเฉี่ยว วางเครื่องยนต์เบนซิน 1,200 ซีซีเทอร์โบ ส่วนรถยนต์รุ่นใหม่ที่ผลิตออกมาขายในบ้านตัวเอง ก็มีเวอร์ชันพิเศษเน้นความสปอร์ตในชื่อซูเปอร์ สำหรับบิวอิก ลูเซิร์น และลาครอสส์ รุ่นแรกใช้เครื่องยนต์วี8 4,600 ซีซี 292 แรงม้า มีกำลังเพิ่มขึ้นจากรุ่นวี8 รุ่นปกติ 17 แรงม้า และอีกรุ่นมากับเครื่องยนต์วี8 5,300 ซีซี 300 แรงม้า โดยที่ฮัมเมอร์มากับเวอร์ชันอัลฟาของเอช3 ยกเครื่องยนต์วี8 รุ่นใหม่มาใส่เพื่อขยับความแรง
ในอีกตัวเลือก หากคุณไม่ต้องการบรรทุกอะไรให้มันหนักหนานัก เพราะนานๆ จะมีสักครั้งจ้างรถขนของเอาครั้งละไม่กี่บาทจะง่ายกว่า แถมยังต้องมีภาระรับ-ส่งลูกไปโรงเรียน แวะรับผู้บัญชาการสูงปี๊ดกลับบ้านด้วย กลางวันก็ต้องขับรถไปติดต่องานตลอด กระบะโฟร์วีลล์ดูเหมือนจะตัดกับภาพพจน์ของเนกไท และเสื้อเชิ้ตกลีบคม งานนี้รถตรวจการณ์ที่มีพื้นฐานจากกระบะ น่าจะเข้าทีมากกว่า แถมยังมีเกียร์อัตโนมัติให้เลือกอีกต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นสุดฮอตฮิตอย่างโตโยต้า สปอร์ตไรเดอร์, อีซูซุ เวก้า (คันนี้หายากหน่อย เพราะเจ้าของเดิมไม่ค่อยมีใครยอมปล่อย), มิตซูบิชิ จี-แวกอน (คันนี้ผมว่าหน้าตารูปทรงเข้าท่า), ไทยรุ่ง และฟอร์ด เอเวอร์เรสต์ แน่นอนว่า ราคาของรถเหล่านี้ก็จะว่ากันตามความนิยม แม้ว่าจะเป็นรถปีเดียวกัน สภาพใกล้เคียงกัน อุปกรณ์ในรถเหมือนๆ กัน แต่ราคาห่างกันร่วมแสนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนะครับ
สำหรับรถยนต์ในกลุ่มนี้ ผมเห็นว่าสมรรถนะนั้นใกล้เคียงกันอยู่แล้ว ก็ต้องอยู่ที่ความชอบละครับ ส่วนราคาเมื่อต้องมาเป็นรถมือสองแล้ว จะขายต่อเป็นรถมือสาม แต่ละยี่ห้อก็คงไม่แตกต่างกันมากแล้วละครับ
แต่หากเน้นออฟโรดพันธุ์แท้สุดเท่ ในงบประมาณที่คุณตั้งไว้ก็ยังมีตัวเลือกอีกเพียบครับ ไม่ว่าจะเป็น จี๊ป เชโรกี ทั้ง 2.5 และ 4.0, แกรนด์ เชโรกี, แลนด์ โรเวอร์ ดิสคัฟเวอรี่ เอ็มพีไอ และ วี 8 , มิตซูบิชิ ปาเจโร่ ฯลฯ ทั้งหมดราคาออกตัวเกินกว่า 1.5 ล้าน จนถึง 2 ล้านกว่าบาททั้งสิ้น แต่เมื่อเป็นรถมือสองราคาตกรูดลงแบบเจ้าของเดิมต้องร้องไห้ ดีไม่ดีราคาต่ำกว่ากระบะโฟร์วีลล์ ในปีเดียวกันด้วยซ้ำไปครับ
สาเหตุหลักๆ ที่เจ้าของเก่าต้องจำใจขายรถเหล่านี้ทั้งน้ำตา ก็เพราะทำใจสู้กับอัตราการบริโภคน้ำมันไม่ไหว ส่วนมากที่ราคาตกรูดกันมาก็ล้วนแล้วแต่ใช้น้ำมันเบนซินกันทั้งสิ้น ดังนั้นความต่างของราคาน้ำมันในช่วงออกตัวลิตรละ 11 บาท กับปัจจุบันลิตรละ 30 บาท บนอัตราความสิ้นเปลืองระดับ 4-5 กม./ลิตร สำหรับการใช้งานในเมือง จึงกลายเป็นตัวเร่งให้บรรดารถเหล่านี้ต้องเรียงหน้ากันปรากฏโฉมกันในหน้าโฆษณารถมือสองกันให้เลือกแทบไม่หวาดไม่ไหว ขณะที่เต็นท์รถหลายแห่งถึงกับบอกว่าไม่รับรถเหล่านี้ เพราะต้องจอดรอเนื้อคู่กันนาน ดอกเบี้ยกินบาน กำไรหด ประเภทว่าหากมีใครมาต่อราคาเท่าไรต้องรีบขายกันที ขาดทุนก็ต้องยอม เพราะขืนทิ้งไว้ดอกเบี้ยยิ่งบาน แล้วไม่รู้ว่าจะมีใครหลงมาต่อราคาอีก อีกปัจจัยที่ทำให้ราคาของรถเหล่านี้ตกรูดมากกว่าล้านบาทก็คือราคาอะไหล่ อย่าลืมนะครับว่าราคาออกตัวของรถเหล่านี้เฉลี่ยกันที่ 1.5 ล้านบาท ขณะรถในกลุ่มนี้ที่เป็นป้ายแดง ณ วันนี้ ราคาปาเข้าไปร่วม 3 ล้านบาทกันเป็นส่วนใหญ่ ราคาอะไหล่จึงเทียบกันไม่ได้กับตัวลุยที่พื้นฐานจากกระบะ และใช้อะไหล่ส่วนมากร่วมกันได้ เคยได้ยินไหมครับว่าราคาอะไหล่ประเภท ท่อยางหม้อน้ำตัวบน 10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทครับ ไม่ได้ใส่เลขศูนย์ผิด) ยางแท่นเครื่อง 4,700 บาท ลูกรอกพลาสติก 2,500 บาท กรองอากาศ 900 กว่าบาท ผ้าเบรกหน้าเกือบ 5,000 บาท และอื่นๆ อีกมากที่คุณฟังแล้วอยากย้อนกลับมาถามว่าแล้วรถพวกนี้มันยังจะน่าสนได้อย่างไร
ทุกอย่างมีทางออกครับ และอย่าแปลกใจหากเห็นตัวลุยระดับหรูหลายๆ คัน เข้าไปเติมแก๊สแอลพีจี ในอู่เดียวกับแท็กซี่ เพราะการลงทุนติดตั้งระบบการจ่ายเชื้อเพลิงด้วยแก๊สแอลพีจี ในต้นทุนหมื่นปลายๆ สำหรับระบบมิกเซอร์ จนถึงห้าหมื่นกว่าบาทสำหรับระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ซีเควนเชียล ที่ให้สมรรถนะแทบไม่แตกต่างกับน้ำมันเบนซิน โดยไม่มีผลเสียอะไรกับเครื่องยนต์ ยกเว้นเพียงแต่ว่าคุณอาจใช้รถยนต์มากขึ้นเพราะหมดปัญหากับค่าน้ำมันเชื้อเพลิงไปแล้ว ส่วนราคาอะไหล่ หลายคนยังว่าเป็นเรื่องน่าหนักใจ เพราะรถมือสองย่อมต้องมีการตรวจเช็คซ่อมแซมกันอีกครั้ง ขืนซื้ออะไหล่ในราคานี้มีหวังต้องกลายเป็นรถมือสามในเดือนสองเดือนนี้แน่ แต่ราคาที่ยกมาให้เห็นนั้น เป็นราคาในศูนย์บริการครับ อย่าลืมว่าศูนย์บริการย่อมต้องมีต้นทุนสูงกว่าอู่ทั่วไปข้างนอก
อะไหล่ทั้งหลายนั้น ผู้ผลิตรถยนต์ก็มิได้ทำการตั้งโรงงานผลิตเอง แต่เป็นการสั่งให้ซัพพลายเออร์เป็นผู้ผลิตส่งให้ แล้วจึงทำการประกอบเข้าด้วยกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีอะไหล่บางส่วนติดตรายี่ห้อของซัพพลายเออร์เองไหลออกสู่ร้านขายอะไหล่ เช่นเดียวกับบางครั้งการออกแบบรถยนต์แต่ละคันนั้น ก็มิได้ออกแบบส่วนประกอบต่างๆ ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เพราะหากเป็นเช่นนั้นย่อมหมายถึงต้นทุนการผลิตที่พุ่งขึ้นอีกหลายเท่าตัว หน้าที่หนึ่งของทีมวิศวกรผู้ออกแบบก็คือ พิจารณานำชิ้นส่วนที่มีอยู่ในรายการมาเลือกใช้ หรือเรามักชอบพูดกันว่าอะไหล่ชิ้นนี้ของรถรุ่นนี้ สามารถเอาไปใส่กับอีกรุ่นนั้นได้ แต่เรื่องแบบนี้ไม่มีใครบอกให้รู้กันง่ายๆ ครับ นอกจากช่างผู้อยู่กับรถรุ่นนั้นมานาน
เช่นกันกับความลับไม่มีในโลก การบอกกันปากต่อปากของกลุ่มผู้นิยมในตัวลุยแต่ละยี่ห้อที่จัดตั้งกันขึ้นมา จนมีครบทุกยี่ห้อแล้วนั้น ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งทำให้ได้ทราบถึงบรรดารายการอะไหล่ทดแทน ที่มีราคาต่ำลงมากจนตัวเหล่านี้กลายเป็นรถที่น่าใช้กันอีกครั้ง
เช่น ท่อยางหม้อน้ำตัวบน 2,000-10,000 บาท เหลือ 200-1,000 บาท ยางแท่นเครื่อง 4,700 บาท เหลือ 500 บาท ลูกรอกพลาสติก 2,500 บาท เหลือ 800 บาท (ผู้ผลิตอะไหล่ในประเทศทำออกจำหน่าย) กรองอากาศ 900 กว่าบาท เหลือ 240 บาท ผ้าเบรกหน้าเกือบ 5,000 บาท เหลือ 2,000 กว่าบาทจากผู้ผลิตผ้าเบรกชั้นนำ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายรายการในระดับหลักหมื่นบาท หากเสียต้องเข้าศูนย์บริการเปลี่ยนอย่างเดียว แต่ช่างข้างนอกสามารถแก้ไขซ่อมแซมให้กลับมาใช้ได้อีกครั้งในราคาราว 10-30 เปอร์เซ็นต์ของราคาอะไหล่ใหม่ (บางชิ้นผมเคยซ่อมในราคาไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของงบอะไหล่ใหม่ด้วยซ้ำไป) บางชิ้นก็อาจพึ่งพาอะไหล่มือสองจากเชียงกง ก็ประหยัดไปได้มาก
ส่วนมาตรฐานการซ่อมก็ไม่ต่างอะไรกับศูนย์บริการ เพราะทุกวันนี้มีอู่เฉพาะรถแต่ละยี่ห้อจนครบยี่ห้อแล้ว โดยมากเป็นการดำเนินงานโดยช่างจากศูนย์ที่ออกมาเปิดอู่เอง มีความชำนาญเฉพาะด้านในรถยี่ห้อนั้นๆ เป็นอย่างดี เพียงแต่สถานที่อาจดูไม่ดีเท่า ขณะที่ราคาอะไหล่และค่าแรงชั่วโมงงานซ่อมต่ำกว่ามากครับ
อย่าเพิ่งคิดว่าแล้วจะไปทราบข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างไร เดี๋ยวนี้เป็นยุคของข้อมูลข่าวสารครับ ทุกกลุ่มทุกชมรมมีเวบไซต์ที่สามารถเข้าค้นหา และสมัครเป็นสมาชิกได้ มีเวลาลองเข้าไปดูครับ มีข้อมูลช่วยคุณตัดสินใจอีกมาก เท่านี้คุณก็สามารถใช้ตัวลุยอย่างประหยัดได้ครับ แถมยังมีเพื่อนไปเที่ยวอีกเพียบครับ
เอเจนซี - บริษัทผู้ผลิตเดมเลอร์ไครสเลอร์ เปิดเผยเมื่อวันศุกร์(14) เรียกคืนรถยนต์เกือบ 369,000 คัน เนื่องจากมีปัญหาระบบเบรก กลอนประตูและล็อค
ไครส์เลอร์ ซึ่งถูกเซอเบอรัส แคปิตอล แมเนจเม้นท์ เข้าควบคุมกิจการแบบลับๆเป็นเงินกว่า 7400 ลานดอลลาร์เมื่อเดือนที่ผ่านมา กล่าวว่ารถส่วนใหญ่จำนวน 296,550 ที่เรียกคืนนั้น มาจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบเบรก รถยนต์ที่เรียกคืนนั้นประกอบด้วยรถจี๊ปแกรนด์เชโรกี( Jeep Grand Cherokee)และจิ๊ปคอมมานเดอร์ (Jeep Commander SUVs) รุ่นปี 2006 กับ 2007 และจิ๊ปแรงเลอร์ 2007 กับ รุ่นดอดจ์ นิโทร (Dodge Nitro) ไครส์เลอร์ กล่าวว่าความบกพร่องเล็กน้อยในหน่วยควบคุมอิเล็กทรอนิกส์เป็นสาเหตุที่ทำให้เบรกทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพขณะที่รถขับขึ้นเขา ซึ่งบริษัทได้รับแจ้งเกี่ยวกับปัญหาข้างต้นกว่า 20 ครั้ง ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมเดมเลอร์ไครสเลอร์ ได้เรียกคืนรถจี๊ป แรงเลอร์ และรถสปอร์ตอเนกประสงค์ (เอสยูวี) รุ่นดอดจ์ นิโทร กว่า 8 หมื่นคันในสหรัฐฯ หลังตรวจพบปัญหาซึ่งอาจจะเป็นชนวนให้เครื่องยนต์หยุดทำงานได้
ที่มาของข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ประจำวันที่ 15 กันยายน 2550
สนใจรถจี๊ปเชโรกี 4.0 l (auto/manual) แต่ไม่มีความรู้เรื่องรถประเภทนี้เลย รบกวนสอบถามเป็นข้อๆ ดังนี้.-1.ราคา:ซื้อ-ขาย ปี1998-2000 ประมาณเท่าไหร่2.อัตราการกินน้ำมันตกประมาณกี่กิโลเมตร/ลิตร3.สามารถนำมาติดตั้งแก๊สเอ็นจีวีได้หรือไม่4. หากติดตั้งได้อัตราสิ้นเปลืองของแก๊สจะอยู่ใน***ส่วนเหมือนใช้น้ำมันหรือไม่5.อะไหล่และค่าซ่อมแพงหรือไม่ และมีอะไหล่มือสองทุกประเภทในท้องตลาดหรือไม่6. มีปัญหาจุกจิกหรือไม่ครับ7. ขอขอบพระคุณล่วงหน้าอย่างสูง ขอตอบคำถามเรียงตามลำดับข้อเลยนะครับ1.ราคาตั้งขายหน้าเต้นท์น่าจะอยู่ประมาณ สี่แสนบาทบวก ลบ ขึ้นอยู่กับสภาพรถและรายละเอียดต่างๆ 2.ประมาณ 8 โล/ลิตร ในเมือง ไม่เกิน 100 กม. ต่อ ชม. นอกเมืองน่าจะอยู่ที่ประมาณ 10 โล/ลิตร ขึ้น3.ติดได้ครับ4.การกินจะประหยัดกว่าครับมากกว่า 20% ขึ้นครับ5.รถพวกนี้ส่วนใหญ่ถ้าได้สภาพดีๆ มาปัญหาก็จะไม่ค่อนมีอะไรเพราะตัวรถทำออกมาได้ทนทานสมเป็นรถอเมริกันเครื่องใหญ่ ช่วงล่างแน่น แต่ถ้ามีปัญหาขึ้นมาแล้วละก็ถ้าเจอช่างที่ไม่ชำนาญรับรองปวดหัวแน่ครับเพราะค่าแรงแพง ค่าอะไหล่ก็ไม่ธรรมดาอีกด้วย ดังนั้นทางทีดีควรใช้เวลาเลือกให้นานนิดนึงหรือศึกษาข้อมูลให้แน่นอนในการดูรถก่อนตัดสินใจซื้อนะครับสงสัยอะไรโทรมาสอบถามกันได้นะครับตามหมายเลขข้างล่างขอขอบคุณดีที่สุดบริการwww.deeteesood.com02-3116677,02-3331116
ตอนนี้พี่เขยเกด กำลังต้องการขายรถ Jeep chelakee Limited 4.0ซึ่งติดตั้งแก๊สมาแล้ว ต้องการขายด่วนมาก ราคาไม่แพง ดูรถได้ที่ WEB taladrod.com นะคะ ทะเบียน พศ 9236 ราคา 558,000 บาท รถใช้น้ำมัน 1.20 บาท/กม. ถ้าสนใจก็มาดูรถได้ที่บ้าน ถ้าคุณต้องการใช้รุ่นนี้รับรองว่าคันนี้รถดีคะ เจ้าของรถขายเอง โทร 051100006
ตอนนี้พี่เขยเกด กำลังต้องการขายรถ Jeep chelakee Limited 4.0ซึ่งติดตั้งแก๊สมาแล้ว ต้องการขายด่วนมาก ราคาไม่แพง ดูรถได้ที่ WEB taladrod.com นะคะ ทะเบียน พศ 9236 ราคา 558,000 บาท รถใช้น้ำมัน 1.20 บาท/กม. ถ้าสนใจก็มาดูรถได้ที่บ้าน ถ้าคุณต้องการใช้รุ่นนี้รับรองว่าคันนี้รถดีคะ เจ้าของรถขายเอง โทร 051100006
กินมากกว่าบางยี่ห้อแต่บางยี่ห้อก็กินมากกว่าฟอร์ดนะเพื่อนผมคนหนึ่งขับเชโรกี อีกคนขับเรน โรเวอร์ตัวท็อป พอเค้าบอกว่าของเค้ากินน้ำมันเท่าไหร่ ผมงี๊ปล่อยก๊ากออกมาเลย เพราะเทียบกันแล้วมันทำให้อัตรากินน้ำมันของ Escape3.0 ของผมเป็นเด็กไปเลย อิๆๆๆๆ
ผมใช้ RANGER RAS XLT 2.5 ไม่มีเทอร์โบ วิ่งที่ความเร็วประมาณ 120 - 130 กม./ชม. จะกินน้ำมันประมาณ 10 กิโลกว่าๆ / ลิตร ถ้าวิ่งช้ากว่านั้นหน่อย 100 - 110 กม./ชม. ก็จะได้ประมาณ 11 - 12 กิโล / ลิตรครับ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าวิ่งในเมืองที่รถติดมากหรือเปล่าหรือวิ่งทางโล่งๆ ที่ผมวิ่งนั้นส่วนใหญ่จะคิดที่ตอนวิ่งมอเตอร์เวย์ ไป - กลับ ระยอง - กรุงเทพครับ รถผมอายุ 1 ปีนิดๆครับ เข้าศูนย์เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกหมื่นโลแต่ถ้าถามว่ากินน้ำมันมากกว่ารถยี่ห้ออื่นหรือเปล่านั้น มันก็ขึ้นอยู่กับว่าพฤติกรรมการขับขี่ของคุณ ที่ผมใช้อยู่รถของที่ทำงาน ที่เขาว่าประหยัดน้ำมันนั้น (รุ่นก่อนปัจจุบัน) มันวิ่งไม่ขึ้นตอนออกตัวเกียร์ 1 และตอนที่จะแซงเชนจ์เกียร์แล้วยังต้องลุ้นว่าจะพ้นหรือเปล่า ลูกน้องผมที่นั่งไปด้วยบอกลุ้นแทบแย่ แต่ไม่เหมือนกับขับรถผมเอง แซงได้ดีไม่ต้องลุ้นครับ ส่วนเรื่องกินน้ำมันนั้นก็ไม่น่าจะน้อยกว่ารถผมมากนัก ถ้าเทียบกับพฤติกรรมการขับขี่ของผม และก็ไม่ได้จดบันทึกไว้ด้วยว่ากินน้ำมันกี่กิโล / ลิตร เพราะเป็นรถยนต์ส่วนกลาง ใช้กันหลายคน และอีกยี่ห้อนึงที่เคยใช้ แต่เป็นรุ่นเก่า ไมตี้ ก็กินน้ำมันไม่น้อยกว่ารถผมในปัจจุบันนี้ครับ ประมาณ 11 - 12 กิโล / ลิตรเหมือนกัน แต่ออกตัวดี แซงดีครับ แต่สมรรถนะของรถนั้นผมว่าสู้ ford ที่ผมใช้อยู่ไม่ได้ครับในเรื่องการเกาะถนนและการเบรก แต่รุ่นปัจจุบันไม่ทราบครับ ผมยังไม่เคยนั่งและก็ไม่เคยขับขี่เองด้วยครับ จึงไม่ทราบจริงๆ ว่าถ้าผมขับขี่เองที่ความเร็วปกติที่เคยใช้นั้น จะกินน้ำมันมากน้อยแค่ไหนครับ
13.87 กิโลลิตรครับ ใช้ความเร็วตามสภาพการจราจร แต่ไม่เกิน 120 กม/ชม. ส่วนมากวิ่งแช่ที่ 100 นิดๆ วิ่งสุรินทร์-เขื่อนป่าสัก ไปนั่ง 4 คน กลับนั่ง 5 ตอนเช็ครถใช้งานมาแล้วประมาณ 10,000 โลครับ
ยี่ห้อ-รุ่น : JEEP , CHEROKEE 4.0
ปี : 1999 ( กันยายน )
ราคาเงินสด : 480,000 บาท
ใช้มาแล้ว : 200,000 กม : เป็นเวลา 8 ปี
สีภายนอก : ดำ
ระบบเกียร์ : ออโต้
เลขทะเบียน : กรุงเทพมหานคร
รายละเอียด : JEEP เชโรกี 4.0ออโต้ สีดำ ปี99 โฉมมน มี BOOK SERVIC เบาะหนังแท้ ระบบไฟฟ้าทั้งคันใช้ได้ 2 ระบบ ( ประหยัด ) เจ้าของขายเอง
อุปกรณ์เสริมมาตรฐาน
แอร์กระจกไฟฟ้าเซ็นทรัลล๊อคกระจกมองข้างปรับไฟฟ้าวิทยุ เทปพวกมาลัยพาวเวอร์ไล่ฝ้ากระจกหลังAIRBAGABS
รายละเอียดเจ้าของรถ
ชื่อ : ชัยยุทธ
โทร : 089420119
เช็คลิสต์ รถที่เคยร้องเรียนกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคระหว่างปี พ.ศ. 2543 – 2547 โดย ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ผลิตภัณฑ์ ลักษณะข้อสรุปของปัญหาจีฟ เชโรกี ใช้รถได้ประมาณ 20 วัน นอตประตูหลุด ใช้ไปได้ 2 เดือน นอตยึดหัวโช้คหลุด เป็นเหตุให้รถเสียหลักจนผู้ร้องได้รับบาดเจ็บรถยนต์นิสสัน ทางบริษัทส่งมอบรถให้ ในสภาพสีรถไม่เรียบร้อย ซึ่งต้องนำไปจอดกลางแจ้งจึงเห็นได้ชัด ทางบริษัทนำกลับไปแก้ไขปรากฏว่า น้ำจากภายนอกสามารถซึมผ่านเข้ามาในรถได้นิสสัน ซันนี่ นีโอ ซื้อรถได้ประมาณ 2 เดือน รถยนต์เกิดปัญหา พวงมาลัยดึงซ้าย มีเสียงดังบริเวณด้านหน้ารถ นำส่งซ่อมหลายหน แต่ไม่ดีขึ้นรถยนต์ วอลโว่ ขณะขับขี่รถยนต์ตามปกติ “ถุงลมนิรภัย” เกิดทำงานกะทันหัน ทั้งที่ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุใด ๆ กับรถยนต์ เป็นเหตุให้ผู้ขับขี่ได้รับบาดเจ็บจากแรงกระแทกของถุงลมนิรภัยมาสด้า แลนติส ซื้อรถได้สองเดือน ปรากฏว่า รถเกิดอาการล้อล็อกตายหักพวงมาลัยไม่ได้ทำให้เกิดอุบัติเหตุ และขณะเกิดอุบัติเหตุนั้นถุงลมนิรภัยไม่ทำงาน ต่อมาได้ทราบภายหลังว่า รถยนต์คันของผู้ร้องไม่มีถุงลมนิรภัยตามที่บริษัทได้โฆษณาไว้มาสด้า Tribute2300 ซีซี พบข้อบกพร่อง คือน็อตโคมไฟเบรกประตูบานท้ายปิดสนิท แอร์ประกอบไม่เรียบร้อย เบาะรถด้านหน้าคู่คนขับเป็นรอยยาว มีรอยขีดข้างไฟท้าย ขณะขับขี่รถกินขวารถมาสด้า ใช้รถได้ประมาณ 2 ปี พบว่า อุปกรณ์รถยนต์และระบบขับเคลื่อนมีปัญหา เช่น พวงมาลัยกินซ้าย เครื่องยนต์เสียงดังผิดปกติเวลาขับขี่เฟียต อาคาป้า ผู้ร้องซื้อรถเดือนมกราคม 44 โดยจ่ายเป็นเงินสด ต่อมารถยนต์เกิดปัญหาหลายอย่าง เช่น เพลาหลุด มือจับประตูล็อก กิ๊ปปิดตามรูนอตไม่มี น้ำเข้าในหลอดไฟหน้ารถ นำซ่อมที่ศูนย์ของตัวแทนบริษัทหลายครั้ง แต่ทางศูนย์อ้างว่าไม่มีอะไหล่ ผู้ร้องต้องหาซื้อมาเปลี่ยนเองรถโฟล์ค รุ่นเวนโต้ นำรถไปซ่อมกับบริษัทคู่กรณี โดยแจ้งว่าเกียร์เสียและจัดซ่อมเปลี่ยนให้ หลังจากเปลี่ยนอะไหล่ 6 เดือนต้องนำเข้าศูนย์เพื่อเปลี่ยนชุดเกียร์ใหม่ ทั้งที่ยังอยู่ในระยะประกัน รถเบนซ์ E 200 รถมีปัญหาแรคพวงมาลัยเสียงดัง ผู้ร้องจึงนำเข้าซ่อมที่ศูนย์บริการของบริษัท ซึ่งต้องรออะไหล่จากต่างประเทศค่อนข้างนาน ระหว่างนั้นบริษัทได้นำรถของผู้ร้องไปให้ผู้อื่นขับขี่และเกิดอุบัติเหตุรถตู้เบนซ์ เอ็มบี 140 รถมีปัญหากำลังตก เคลื่อนที่ได้ช้าเวลาขึ้นเนินรถจะไถลลงเนิน ทำให้ผู้ขับขี่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ ได้ติดต่อบริษัทเพื่อให้แก้ปัญหา บริษัทแจ้งว่าต้องเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ทั้งหมดหรือติดเทอร์โบ โดยผู้ร้องต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายเองBMW ผู้ร้องซื้อรถยนต์ จากโชว์รูม เอ็มวัน ในกรุงเทพฯ ราคา 1,940,000 บาท โดยจ่ายเป็นเงินสด ประมาณสองเดือนรถยนต์เกิดปัญหา น้ำขังบริเวณตอนท้ายของที่นั่งด้านซ้ายมือของคนขับ สันนิษฐานว่าเป็นการรั่วซึมของน้ำฝน เพราะเป็นช่วงหน้าฝนพอดี ผู้ร้องส่งซ่อมหลายครั้ง แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้BMW 323 AI ใช้รถได้ประมาณ 10 วัน ระบบขับเคลื่อนเกิดปัญหา ส่งซ่อมหลายครั้งแต่ไม่สามารถแก้ไขได้ ต้องการเปลี่ยนรถคันใหม่ แต่บริษัทแจ้งว่าไม่มีนโยบายBMW 323 AI ใช้รถได้ไม่นาน รถเกิดอาการชำรุดบกพร่องหลายประการ เช่น เวลาหมุนพวงมาลัยเลี้ยวซ้าย-ขวาจะเกิดเสียงดัง ช่วงล่างมีเสียงดังผิดปกติ เครื่องยนต์มีอาการกระตุกเมื่อขึ้นทางชัน BMW 323 AI รับรถมาวันแรกก็พบอาการผิดปกติเสียงดังที่พวงมาลัยและช่วงล่าง ต้องการเปลี่ยนรถคันใหม่ แต่บริษัทแจ้งว่าไม่มีนโยบายBMW 323 IA รถยนต์มีปัญหาเรื่องที่ฉีดน้ำหน้ากระจก ไม่ทำงานตั้งแต่วันแรกของการส่งมอบรถ ต่อมาเมื่อนำรถออกวิ่ง รถเหมือนหมดกำลังแม้จะแตะคันเร่ง แต่รถก็ทำท่าเหมือนจะดับ ไฟเกียร์ที่ตัว D ติด ๆ ดับ ๆ ต้องนำเข้าศูนย์ตัวแทนบริษัทหลายครั้งBMW 323 IA ใช้รถได้ประมาณ 2 เดือน(2,700 ก.ม.) เกิดปัญหาน้ำเข้าเครื่องยนต์ ทั้งที่รถยนต์ใช้งานตามปกติ เกิดปัญหาที่หม้อน้ำ พบว่าที่ฝาหม้อน้ำมีก้อนไขมันสีขาวและเครื่องยนต์มีเสียงดังBMW 323 IA รถยนต์มีปัญหาเกี่ยวกับแอร์ ซึ่งเสียบ่อย และเกียร์ใช้งานไม่ได้ ต้องเข้าศูนย์ตัวแทนบริษัท เพื่อตรวจซ่อมตลอด แต่ก็เป็น ๆ หาย ๆ ต้องการเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่ แต่บริษัทแจ้งว่า ไม่มีนโยบาย BMW ขณะขับรถกลับบ้านรถเสียหลัก ไปชนขอบรั้วกั้นทางด่วนอย่างแรง แต่ถุงลมนิรภัย (ตามโฆษณาแจ้งว่ามี จำนวน 10 ใบ) ไม่ทำงาน เมื่อแจ้งกลับบริษัทให้ทราบถึงปัญหา บริษัทบอกว่า เพราะอุบัติเหตุยังไม่รุนแรง ไม่ได้องศาที่พอดี ถุงลมนิรภัยจึงไม่ทำงาน BMW 523 IA เมื่อรับรถออกมา พบว่ารถยนต์มีปัญหาพวงมาลัยกินซ้ายตลอด ต้องคอยดึงไว้ตลอด เคยนำเข้าศูนย์บริการหลายครั้ง แต่ไม่ดีขึ้น ทางช่างบอกว่าปกติ ผู้ร้องทดสอบกับรถยนต์คันอื่นรุ่นเดียวกัน ก็ไม่พบปัญหา จึงขอเปลี่ยนรถคันใหม่ มิตซูบิชิ แกรนดิส ผู้ร้องซื้อรถยนต์โดยจ่ายเป็นเงินสด แต่กำหนดผ่อนชำระ 3 งวด จากร้านตัวแทนจำหน่ายจังหวัดลำปาง ประมาณ 1 เดือนระหว่างขับขี่เกิดเสียงดังในห้องเครื่อง จึงนำเข้าตรวจสภาพที่ศูนย์ของตัวแทนบริษัท พนักงานแจ้งว่า ลูกสูบมีรอยกระแทก แนะนำว่าต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่หมด โดยผู้ร้องต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายเอง มิตซูบิชิ แลนเซอร์ ใช้งานได้เพียง 10 วัน รถเกิดปัญหาว่า การเปลี่ยนจากเกียร์ถอยหลัง R มาเป็น D รถจะเกิดอาการกระตุกอย่างแรง พร้อมทั้งระบบไฟฟ้าจะเกิดอาการรวน ส่งศูนย์บริการซ่อมหลายครั้งแต่ไม่ดีขึ้น ผู้ร้องต้องการเปลี่ยนรถคันใหม่มิตซูบิชิ แกรนดิส 4x4 WDรถยนต์ที่ซื้อมาประมาณ 1 เดือนเกิดเสียงดังที่พวงมาลัยขณะขับขี่จึงนำเข้าซ่อมที่ศูนย์ตัวแทนบริษัท ต่อมารถยนต์เกิดปัญหาเสียงดังที่ช่วงล่างอีก จึงนำเข้าซ่อมอีกครั้ง และยังเจอปัญหาต่อมาเรื่อย ๆ อีซูซุ 2500 เทอร์โบ ซื้อรถด้วยเงินสดจากตัวแทนบริษัท จังหวัดฉะเชิงเทรา ต่อมารถมีปัญหาเสียงดัง ถังน้ำมันเมื่อเปิดแล้วปิดไม่ได้ นำเข้าซ่อมที่ศูนย์ฯ หลายครั้งก็ไม่ดีขึ้น ช่างบอกว่าต้องยกเครื่องเพราะเหล็กที่ประกอบอาจจะไม่ได้มาตรฐานอีซูซุ 2500 เทอร์โบ ซื้อรถกระบะโดยจ่ายเป็นเงินสด เมื่อนำมาใช้รถเกิดปัญหาเสียงดังเวลาขับรถตกหลุมหรือขับผ่านหลังเต่า นำเข้าศูนย์บริการหลายครั้ง แต่ไม่ดีขึ้น รถกระบะ อีซูซุ ผู้ร้องซื้อรถกระบะเมื่อปี 2541 ประมาณ 3 ปี ปรากฏว่า คลัชซีของรถขาดจากกัน ซึ่งรถที่ใช้งานปกติไม่น่าเกิดปัญหานี้ โตโยต้า ไทเกอร์ 4 WD หลังจากใช้รถไปประมาณ 2 – 3 เดือน พบว่าเวลาเบรกจะมีเสียงดัง นำรถยนต์เข้าตรวจสภาพที่ศูนย์ตัวแทนบริษัท แต่หาสาเหตุไม่พบ จนเมื่อใช้รถประมาณ 30,000 ก.ม. รถยนต์ยังเกิดปัญหาเดิม จึงลองนำรถเข้าตรวจที่ศูนย์อื่น ช่างระบุว่า เสียงดังที่เกิดขึ้น อาจเนื่องมาจากการออกแบบถังน้ำมันที่ไม่ดีทำให้เบรกแล้วน้ำมันที่เหลือกระแทกกับตัวถังทำให้เกิดเสียงดัง โตโยต้า ขณะติดเครื่องยนต์ไฟหน้าปัดโชว์ตลอดและมีเสียงดังมากภายในเครื่อง เมื่อส่งซ่อม พบว่า ลูกสูบทำงานไม่ปกติฮอนด้า ซีวิค 2001รถป้ายแดงมีปัญหาน้ำรั่วซึมเข้าด้านบนของกระจกบังลม ต้องนำเข้าศูนย์ตัวแทนบริษัทหลายครั้ง แต่ไม่ดีขึ้นรถยนต์ ฮอนด้า ซื้อรถเมื่อปี 2542 แต่รถมีปัญหากินน้ำมันเครื่องตลอด เมื่อวิ่งทุก 200 -300 ก.ม. เข้าศูนย์บริการหลายครั้งแต่ไม่ดีขึ้นรถจักรยานยนต์ ฮอนด้า เวฟ ผู้ร้องพบว่า ฮอนด้าเวฟ 100 (ปี 2542) รุ่นธรรมดา ราคา 39,700 บาท แต่ฮอนด้าเวฟ 100 (ปี 2545) รุ่นธรรมดา ซึ่งมีหน้าตาเหมือน ฮอนด้าเวฟ 110 (ปี 2542) กลับมีราคาเพียง 29,800 บาท ผู้ร้องเห็นว่า บริษัท นำฮอนด้าเวฟ 110 (2542) มาเปลี่ยนเป็นฮอนด้าเวฟ 100 (2545) แต่เพิ่มราคาให้สูงขึ้น เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคฮอนด้า ซีอาร์วี ก่อนรับรถต้องเปลี่ยนยางฝากระโปรงหน้าเพราะมีรอยขาด เปลี่ยนพลาสติกที่มีอยู่ในตัวรถ มีรอยขีดข่วน เมื่อขับออกมาพบว่า พวงมาลัยกินซ้าย จึงต้องนำกลับเข้าศูนย์บริการเพื่อแก้ปัญหาฮอนด้า ซีอาร์วี ใช้รถไปได้สักระยะ พบปัญหารถกินน้ำมันเครื่อง น้ำมันเชื้อเพลิง จึงแจ้งให้บริษัทฯ ทราบ บริษัท จัดการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ให้ แต่รถยังมีอาการเช่นเดิม ผู้ร้องต้องการให้บริษัทซื้อรถคืน ฮอนด้า ซีอาร์วี ดีลเลอร์ ของฮอนด้า ที่นครสวรรค์ หลอกขายรถฮอนด้า ซีอาร์วี รุ่นมาตรฐานว่า เป็นรุ่นท็อป มีผู้บริโภคถูกฉ้อโกงร่วม 150 รายออนด้าแอคคอร์ด 99 (รุ่นท๊อป)/บ.บุญผ่องเซอร์วิส จำกัด รถมีอาการไม่เคลื่อนตัวแต่เครื่องยนต์ทำงาน พร้อมกับมีกลิ่นไหม้ของเครื่องยนต์ ผู้ร้องซื้อรถเมื่อปี 44 2 ปี ต่อมาผู้ร้องนำรถไปขายกับศูนย์รับซื้อรถยนต์ ทางศูนย์ฯ ตีราคาให้ต่ำมาก จึงสงสัยและนำรถไปตรวจที่ศูนย์ฮอนด้า สุขสวัสดิ์ จึงทราบว่า รถของตนเป็นรุ่นธรรมดาที่นำมาย้อมแมวขายเป็น รุ่นท็อป เชฟโรเลต เมื่อรับมอบรถแล้วพบว่า สภาพรถยนต์มีรอยบุบ ประตูหลุด ถังน้ำมันแตก ผู้ร้องจึงต้องการคืนรถและขอเงินคืน แต่ทางบริษัทไม่ยอม เชฟโรเลต ซาฟีร่า หลังจากออกรถได้ 5 วัน สังเกตพบรอยบุบใต้ท้องรถ จึงนำเข้าซ่อมที่ศูนย์ตัวแทนบริษัท และต้องการเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่ เชฟโรเลต ซาฟีร่า พบปัญหาเครื่องยนต์ดับเมื่อเร่งความเร็วที่ 60 – 70 ก.ม./ชั่วโมง นำเข้าศูนย์บริการเพื่อซ่อมจำนวน 8 ครั้ง ยังไม่หาย ต้องการให้บริษัทซื้อรถยนต์คืน เชฟโรเลต ซาฟีร่า ตั้งแต่เริ่มใช้รถ พบปัญหาเครื่องร้อนจัด ต้องส่งซ่อมถึง 3 ครั้งแต่ไม่ดีขึ้น ต้องการให้บริษัทเปลี่ยนรถใหม่ เปอโยต์ 205 จีอาร์ เมื่อรับมอบรถแล้ว พบว่า ไฟส่องสูงไม่ทำงาน สวิทช์ปิดเปิดแอร์หัก ท่อไอเสียเกิดเสียงดัง และขณะขับด้วยความเร็วระบบเบรกห้ามล้อไม่ทำงาน รถกระบะฟอร์ด เรนเจอร์ ใช้งานประมาณ 5 เดือน พบว่ายางล้อรถทั้ง 4 เส้น เกิดรอยปริแตก เมื่อให้บริษัทนำไปตรวจ บริษัทแจ้งว่า ไม่เกี่ยวกับคุณภาพของสินค้า บอกว่าปัญหาเกิดจากแก้มยางถูกบาดตำ จึงไม่เปลี่ยนยางเส้นใหม่ให้รถยนต์ ซูซูกิ ใช้รถได้ประมาณ 2 เดือน พบว่ารถมีปัญหากินน้ำมัน ทดสอบด้วยตนเองพบว่า 1 ลิตรวิ่งได้ 6.5 ก.ม. จึงแจ้งให้บริษัทตรวจสอบ เมื่อบริษัทนำรถของผู้ร้องไปทดสอบเปรียบเทียบกับรถยนต์ของที่บริษัทเตรียมมา ปรากฏว่าของผู้ร้องวิ่งได้ 11.5 ก.ม. ขณะที่รถที่นำมาเปรียบวิ่งได้ 14 ก.ม. ต้องการให้บริษัทแก้ไขรถจักรยานยนต์ คาวาซากิ รถมีปัญหาสลักลูกสูบหลุดมาโดนเสื้อสูบ ทำให้ลูกสูบแตก ใช้การไม่ได้ นำซ่อมแล้วแต่ยังพอปัญหาซูซุกิ สปอร์ตี้ รถมีปัญหาตั้งแต่วันแรกที่รับรถ คือ เปลี่ยนถังน้ำมัน 4 ครั้ง ซ่อมแอร์ 3 ครั้ง ผู้ร้องต้องนำรถเข้าศูนย์บริการถึง 17 ครั้งจักรยานยนต์ เจ อาร์ ดี รถจักรยานยนต์ราคา 60,000 กว่าบาท ซื้อได้ไม่ถึงเดือนรถสตาร์ไม่ติดในขณะที่รถติดไฟแดงหรืออยู่บนสะพาน ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหลายครั้ง รถไม่อยู่ในสภาพใช้งานได้อย่างปลอดภัย รถมีรอยสนิมทั้งที่เป็นรถใหม่ เข้าศูนย์บริการหลายครั้งแต่ไม่ดีขึ้น ต้องการคืนรถแต่บริษัทบอกว่าต้องหักค่าเสื่อม 20 เปอร์เซ็นต์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06 ธันวาคม 2006, 11:27:41 AM โดย คนภูเรือ »
ของผมรุ่นเดียวกับของเอ็มจี เรื่องวิ่งไม่มีปัญหาออกเชียงใหม่เช้าขึ้นผาจิ แล้วควบกลับมาทุ่มกว่าก็ถึงบ้านแล้วแต่มีนิดหนึ่งคือตอนเอาของบรรทุกเยอะๆ หน้ารถดูเหมือนจะเชิด แล้วปรากฏว่าไอ้ไฟน้ำมันเครื่องมันเกิดแดงโร่ขึ้นมา ทั้งที่เพิ่งเชิดหัวไต่ขึ้นเขา ต้องใช้วิธีจอดแล้วเอาหัวลงมันถึงจะหาย ทั้งที่เครื่องก็ยังไม่ทันร้อนอะไรมาก พอเที่ยวหลังที่จะไปชนหมูป่าไปแค่สองคน น้ำหนักรถเบาปัญหานี้ไม่เกิด ยังไม่ได้ไปถามอู่ว่ามันเกิดจากปัญหาใด หรือควรเติมน้ำมันเครื่องให้มากกว่านี้หากเอ็มจีจะควบมาก็ลงสังเกตดูด้วย ว่ามีปัญหาอย่างเดียวกันหรือเปล่า เสียดายข้างบนไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่งั้นจะได้ถ่ายทอดสดเอามาเซ้ยคนที่ไม่ได้ไปหน่อย
ของผมรุ่นเดียวกับของเอ็มจี เรื่องวิ่งไม่มีปัญหาออกเชียงใหม่เช้าขึ้นผาจิ แล้วควบกลับมาทุ่มกว่าก็ถึงบ้านแล้วแต่มีนิดหนึ่งคือตอนเอาของบรรทุกเยอะๆ หน้ารถดูเหมือนจะเชิด แล้วปรากฏว่าไอ้ไฟน้ำมันเครื่องมันเกิดแดงโร่ขึ้นมา ทั้งที่เพิ่งเชิดหัวไต่ขึ้นเขา ต้องใช้วิธีจอดแล้วเอาหัวลงมันถึงจะหาย ทั้งที่เครื่องก็ยังไม่ทันร้อนอะไรมาก พอเที่ยวหลังที่จะไปชนหมูป่าไปแค่สองคน น้ำหนักรถเบาปัญหานี้ไม่เกิด ยังไม่ได้ไปถามอู่ว่ามันเกิดจากปัญหาใด หรือควรเติมน้ำมันเครื่องให้มากกว่านี้หากเอ็มจีจะควบมาก็ลงสังเกตดูด้วย ว่ามีปัญหาอย่างเดียวกันหรือเปล่า เสียดายข้างบนไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่งั้นจะได้ถ่ายทอดสดเอามาเซ้ยคนที่ไม่ได้ไปหน่อย
ขายจีป เชโรกี4.0Lติดตั้งแก็ส แล้ววิ่งกิโลละ1.50บาท มีทีวีดูหนัง/คารโอเกะได้ ช่วงล่างแน่นยางใหม่4เส้น ราคา 316000 ติดต่อ สนทยาเบอร์ติดต่อ 059024279, 0859024279อีเมล sontaya@hotmail.com
ประกาศเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2550 09:17:05
จี๊ป ต้นฉบับความแข็งแกร่งจากสหรัฐอเมริกา กับการรุกตลาดระดับหรูด้วยการปรับโฉมให้กับรุ่นแกรนด์ เชโรกี มาพร้อมกับความสดทั้งภายนอกและภายใน รวมถึงใต้ฝากระโปรง เพราะจี๊ปเปิดเผยว่า แกรนด์ เชโรกีใหม่จะสวมหัวใจใหม่ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์วี8 4,700 ซีซีรุ่นใหม่ ที่ได้รับการปรับปรุงให้มีทั้งม้าและทอร์กเพิ่มขึ้นอย่างละ 30% และ 10% ตามลำดับ
เครื่องยนต์วี8 รุ่นนี้มีการปรับปรุงฝาสูบเพิ่มประสิทธิภาพในการไหลของไอดี เพิ่มอัตราส่วน การอัด และใช้ระบบ Twin Spark หรือหัวเทียน 2 ตัวต่อสูบ ซึ่งถ้าไม่นับขุมพลังวี8 ตัวแรงในรหัส Hemi แล้ว นี่เป็นเครื่องยนต์บล็อกเดียวของจี๊ปที่ใช้ระบบนี้ พร้อมกับติดตั้งระบบลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า หรือ ETC ทำให้มีกำลังเพิ่มเป็น 305 แรงม้า (รุ่นเดิม 235 แรงม้า) ส่วนแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 46.1 กก.-ม. ส่วนในเรื่องความประหยัดแม้จี๊ปไม่ได้เปิดเผยตัวเลข แต่ระบุว่าดีขึ้นจากเครื่องยนต์วี8 4,700 ซีซีรุ่นเดิม อย่างแน่นอน และเป็นระบบ FFV หรือ FLex Fuel Vehicle ที่สามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ได้
นอกจากนั้น ทางเลือกอื่นๆ ในการทำตลาดยังมีเหมือนเดิม คือ เครื่องยนต์วี6 3,700 ซีซี 210 แรงม้า ตามด้วยตัวแรงในรหัส Hemi วี8 5,700 ซีซี 330 แรงม้า และรหัส SRT8 เครื่องยนต์ Hemi วี8 เหมือนกันแต่ขยับความจุเป็น 6,100 ซีซี 425 แรงม้า และมีเพิ่มรุ่นเทอร์โบดีเซลวี6 3,000 ซีซีเป็น อีกทางเลือก
ใครที่เป็นแฟนจี๊ปต้องรออีกสักนิด เพราะแกรนด์เชโรกีใหม่มีคิวเปิดตัวขายในเมืองลุงแซม ปลายปีนี้ ส่วนราคาคงแพงจากเดิมไม่มาก ซึ่งรุ่นปัจจุบันมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 28,658 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 1 ล้านกว่าบาท
"]ลองมาแถวถนนพระราม 3 มี 2 ร้านที่ติดเป็นหัวฉีด ออโทนิค
ร้านแรก อยู่ตรงข้าม ศูนย์ BMW พระราม 3 ย้ำตรงข้ามศูนย์ BMW จะพบกับร้านแต่งรถยนต์ และที่ล้างรถ แมคกวาย เลี้ยวเข้าไปในร้านส่วนใจ จะมีบริการติดก๊าซ เคยไปดู CRV ติด NGV และ ติดแบบ FIX มี ECU ออโทนิค ควบคุม ถังโดนัท ราคา 3-4-5 หมื่นไปเลือก แบบเอาครับ
โทร.091375091 ถามเรื่องติดได้เลยถ้าจำไม่ผิดเป็นเจ้าของร้านครับ
ร้านที่สอง อู่อำไพรเซอร์วิส อยู่ตรงแยกนางลิ้นจี่ ถ้ามาจาก 5 แยก ณ ระนอง ลงสะพานข้ามทางรถไฟ วิ่งตรงมา เจอ 3 แยกไฟแดงให้ชิดขวา เลี้ยวขวาตามไฟแดง เข้าไปประมาณ 100 ม เห็นโชร์รูม เกีย ทางขวามือ อยู่ติดกันเลยครับ จะเห็น เชโรกี จอดเข้า SERVICE เพียบ-
ส่วนเบอร์ติดต่อ 022853934 ราคาพอๆ แต่อำไพจะแพงกว่ากันประมาณ 3-4 พันบาท ครับ
เป็นข้อมูลประกอบพิจารณา น๊ะ ดี หรือไม่ดี อันนี้คุณตัดสินใจเอง เพราะผมไม่ได้ค่าคอมมิชั่น น๊ะ[/quote]
Wednesday, January 16, 2008
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment